พระบรมราชานุสาวรีย์พระนารายณ์มหาราชฯ
|
ตั้งอยู่กลางวงเวียนเทพสตรีใกล้ศาลากลางจังหวัดลพบุรี
บริเวณหัวถนนนารายณ์มหาราชก่อนเข้าสู่ย่านตัวเมือง
อนุสาวรีย์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เป็นรูปปั้นในท่าประทับยืนผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
พระ-หัตถ์ขวาทรงพระแสงดาบ
ก้าวพระบาทซ้ายออกมาข้างหน้าเล็กน้อย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงประกอบพิธีเปิดเมื่อวันที่
16 กุมภาพันธ์ 2509 ที่ฐาน-อนุสาวรีย์ได้จารึกข้อความว่า
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชพระมหากษัตริย์ไทยผู้ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง
ทรงพระราช-สมภพ ณ
กรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2175 สวรรคต
ณ เมืองลพบุรี เมื่อ พ.ศ.2231
พระองค์ทรงมีพระบรมราชกฤษ-ดาภินิหารเป็นอย่างยิ่ง
ในรัชสมัยของพระองค์
วรรณคดีและศิลปะของไทยได้เจริญถึงขีดสูงสุด
มีสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศอย่างกว้างขวาง
เกียรติคุณของประเทศไทยแผ่ไพศาลเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ประชาชนชาวไทยได้ร่วมกันสร้างและประดิษฐานอนุสาวรีย์นี้ไว้เมื่อวันที่
16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2509 |
-----------------------------------------------------------------
สระแก้ว |
ตั้งอยู่กลางวงเวียนศรีสุริโยทัย
หรือ วงเวียนสระแก้ว
ถนนนารายณ์มหาราช
อำเภอเมืองลพบุรี
เป็นสระน้ำขนาดใหญ่
กลางสระมีสถาปัตยกรรมรูปร่างคล้ายเทียนขนาดยักษ์
ตั้งอยู่บนพานขนาดใหญ่รอบขอบพานประดับเครื่องหมายประจำกระทรวงต่างๆ
มีสะพานเชื่อมถึงกันโดยรอบทั้ง
4 ทิศ
ที่เชิงสะพานมีคชสีห์ในท่านั่งหมอบเป็นยามอยู่สะพานละ
2 ตัว |
|
-----------------------------------------------------------------
สวนสัตว์สระแก้วลพบุรี |
อยู่ห่างจากวงเวียนสระแก้วไปทางทิศตะวันออกประมาณ
1 กิโลเมตร
อำเภอเมืองลพบุรี
สวนสัตว์แห่งนี้สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี
พ.ศ. 2483 สมัยที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม
เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น
ได้มุ่งพัฒนาเมืองลพบุรีให้เป็นเมืองสำคัญ
โดยได้ก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ
มากมายรวมทั้งสวนสัตว์แห่งนี้ด้วย
ต่อมาเมื่อสิ้นยุคสมัยของจอมพล
ป.พิบูลสงคราม
สวนสัตว์ก็พลอยถูกทอดทิ้งและร้างไปในที่สุด
ต่อมาในปี พ.ศ.
2520 ศูนย์สงครามพิเศษ
ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่สวนสัตว์
ได้ร่วมมือกับหน่วยงาน
ต่าง ๆ ทั้งชมรม สโมสร
พ่อค้า ประชาชน
ดำเนินการปรับปรุงบูรณะสวนสัตว์แห่งนี้ขึ้นใหม่
ให้เป็นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจและเป็นแหล่งสำหรับศึกษาหาความรู้ในเรื่องสัตว์และพืช
นับเป็นสวนสัตว์ในต่างจังหวัดที่มีความสมบูรณ์พอสมควรแก่การบริการประชาชนในท้องถิ่น
เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา
08.00 น.-18.00 น.
ค่าผ่านประตูผู้ใหญ่ 10 บาท
เด็ก 5 บาท รถยนต์ 5 บาท
-----------------------------------------------------------------
พระที่นั่งไกรสรสิหราช
(พระที่นั่งเย็น
หรือตำหนักทะเลชุบศร) |
ตั้งอยู่ที่ตำบลทะเลชุบศร
อำเภอเมืองลพบุรี
ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 4
กิโลเมตร
พระที่นั่งไกรสรสีหราช
หรือพระที่นั่งเย็น
เป็นที่ประทับอีกแห่งหนึ่งของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ณ เมืองลพบุรี
สมเด็จพระนารายณ์ฯ โปรดฯ
ให้สร้างขึ้นเพื่อทรงสำราญพระราชอิริยาบถ
บันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า
เมื่อสมเด็จพระนารายณ์
ประพาสป่าล่าช้างบริเวณภูเขาทางทิศตะวันออก
แล้วจะกลับเข้าเสด็จประทับ
ณ พระที่นั่งองค์นี้
สร้างขึ้นในปีใดในรัชกาลของพระองค์ใดไม่ทราบแน่ชัด
แต่จากการที่พระองค์ได้ทรงต้อนรับ
พระราชอาคันตุกะจากประเทศฝรั่งเศส
ณ พระที่นั่งใน พ.ศ. 2228
จึงเป็นหลักฐานที่แน่ชัดว่าพระที่นั่งเย็นได้สร้างก่อน
พ.ศ. 2228
องค์พระที่นั่งตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลชุบศรซึ่งในสมัยโบราณเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีเขื่อนหินถือปูนล้อมรอบ
สภาพปัจจุบันเหลือแต่ผนัง
เครื่องบน หักพังหมดแล้ว
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของพระที่นั่งองค์นี้
คือ
เป็นพระที่นั่งชั้นเดียวมีผังเป็นทรงจตุรมุข
ตรงมุขหน้ามีมุขเด็จยื่นออกมาและมีสีหบัญชรกลางมุขเด็จ
สำหรับสมเด็จพระนารายณ์ฯ
เสด็จออกซุ้มหน้าต่าง
และซุ้มประตูทำเป็นซุ้มเรือนแก้วเป็นแบบแผนที่นิยมทำกันมากในอาคารสมัยสมเด็จพระนารายณ์
ฯ
ในบริเวณพระที่นั่งเย็นมีอาคารเล็ก
ๆ ก่อด้วยอิฐอื่น ๆ อีก
ซึ่งทำประตูหน้าต่างเป็นแบบโค้งแหลม
ซึ่งเข้าใจว่าเป็นที่พักทหาร
ด้านหน้าและด้านหลังพระที่นั่งมีเกยทรงม้าหรือช้างด้านละแห่ง
พระที่นั่งเย็น
มีความสำคัญในฐานะที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ
ใช้เป็นสถานที่สำรวจจันทรุปราคา
เมื่อ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2228
และทอดพระเนตรสุริยุปราคา
เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2231
ร่วมกับบาทหลวงเยซูอิต
และบุคคลในคณะทูตชุดแรก
ที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14
แห่งประเทศฝรั่งเศสส่งมาเจริญสัมพันธไมตรี
เหตุที่ได้ใช้พระที่นั่งเย็นเป็นที่สำรวจจันทรุปราคา
มีบันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่าเป็นที่เหมาะสม
มองท้องฟ้าได้ทุกด้าน
และมีพื้นที่กว้างมากพอสำหรับที่จะติดตั้งเครื่องมือยังมีภาพการสำรวจจันทรุปราคาที่พระที่นั่งเย็นซึ่งชาวฝรั่งเศสวาดไว้
เป็นรูปสมเด็จพระนารายณ์ฯ
ทรงสวมลอมพอกทรงกล้องส่องยาววางบนขาตั้ง
ทอดพระเนตรดวงจันทร์จากสีหบัญชรของพระที่นั่งเย็นและตรงเฉลียงสองข้างสีหบัญชร
ด้านหนึ่งมีขุนนางหมอบกราบ
อีกด้านหนึ่งมีนักดาราศาสตร์กำลังสังเกตการณ์โดยใช้กล้องส่อง
จึงกล่าวได้ว่าการศึกษาวิชาดาราศาสตร์สมัยใหม่เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย
ณ พระที่นั่งเย็น
เมืองลพบุรีนี้เอง |
|
-----------------------------------------------------------------
ศาลพระกาฬ |
ตั้งอยู่ริมทางรถไฟด้านทิศตะวันออกพระปรางค์สามยอด
ตำบลท่าหิน
เป็นเทวสถานเก่าของขอม
สร้างด้วยศิลาแลงเรียงซ้อนกันเป็นฐานสูง
จึงเรียกกันมาแต่ก่อนอีกชื่อหนึ่งว่า
"ศาลสูง"
ที่ทับหลังสลักเป็นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ทำด้วยศิลาทราย
1 แผ่น
อายุราวพุทธศตวรรษที่ 15
วางอยู่ติดฝาผนังวิหารหลังเล็ก
ชั้นบน ณ
ที่นี่ได้พบหลักศิลาจารึกแปดเหลี่ยม
จารึกอักษรมอญโบราณ
ส่วนด้านหน้าเป็นศาลที่สร้างขึ้นเมื่อ
พ.ศ. 2494
โดยสร้างทับบนรากฐานเดิมที่สร้างไว้ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ภายในวิหารประดิษฐานพระนารายณ์ยืน
ทำด้วยศิลา 2 องค์
องค์เล็กเป็นแบบเทวรูปเก่าในประเทศไทย
องค์ใหญ่เป็นประติมากรรมแบบลพบุรี
แต่พระเศียรเดิมหายไป
ภายหลังมีผู้นำพระเศียรพระพุทธรูปศิลาทรายสมัยอยุธยามาสวมต่อไว้
เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนทั่วไป
ในบริเวณรอบศาลพระกาฬร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่
จึงเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงลิงจำนวนมาก
ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของจังหวัดลพบุรี
มีร้านขายของที่ระลึก
และอาหารสำหรับลิง
ตลอดจนศาลาพักผ่อนมีถนนตัดรอบทำให้โบราณสถานมีลักษณะเป็นวงเวียน |
|
-----------------------------------------------------------------
พระปรางค์สามยอด
|
|
ตั้งอยู่บนเนินดินด้านทิศตะวันตกของทางรถไฟใกล้กับศาลพระกาฬ
ตำบล ท่าหิน
อำเภอเมืองลพบุรี
มีลักษณะเป็นปรางค์เรียงต่อกัน
3 องค์
มีฉนวนทางเดินเชื่อมติดต่อกัน
พระปรางค์สามยอดเป็นศิลปะเขมรแบบบายน
ซึ่งมีอายุราวพุทธศตวรรษที่
18 สร้างด้วยศิลาแลง
หินทรายและตกแต่งลวดลายปูนปั้นที่สวยงาม
ตรงซุ้มประตูเดิมคงมีทับหลัง
แต่ที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน
คือ
เสาประดับกรอบประตูแกะสลักเป็นรูปฤาษีนั่งชันเข่าในซุ้มเรือนแก้ว
เป็นแบบเฉพาะของเสาประดับกรอบประตูศิลปะเขมร
แบบบายนปรางค์องค์กลางมีฐาน
แต่เดิมเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและมีเพดานไม้เขียนลวดลายเป็นดอกจันทน์สีแดง
ด้านหน้าทางทิศตะวันออก
มีวิหารสร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ปางสมาธิที่สมบูรณ์ดี
เป็นศิลปะแบบสมัยอยุธยาตอนต้น
อายุราวพุทธศตวรรษที่ 20
พระปรางค์สามยอดนี้แต่เดิมคงเป็นเทวสถานของขอมในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน
ต่อมาได้ดัดแปลงเป็นเทวสถานโดยมีฐาน |
|
พระปรางค์สามยอดนี้แต่เดิมคงเป็นเทวสถานของขอมในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน
ต่อมาได้ดัดแปลงเป็นเทวสถานโดยมีฐานศิวลึงค์ปรากฏอยู่ในองค์ปรางค์ทั้งสามปรางค์
จนกระทั่งถึงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ
จึงได้บูรณะปฏิสังขรณ์พระปรางค์สามยอดเป็นวัดในพุทธศาสนา
แล้วสร้างพระวิหารก่อด้วยอิฐ
ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาผสมแบบยุโรป
ในส่วนของประตูและหน้าต่าง
ภายในวิหารประดิษฐานพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัย
ศิลปะอยุธยาตอนต้น
ปัจจุบันยังคงประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง |
-----------------------------------------------------------------
เทวสถานปรางค์แขก |
อยู่ใกล้กับนารายณ์ราชนิเวศน์
เป็นปรางค์ก่อด้วยอิฐมีสามองค์
แต่ไม่มีฉนวนเชื่อมต่อกันเหมือนปรางค์สามยอดนักโบราณคดีกำหนดว่ามีอายุราวพุทธศตวรรษที่
5
เพราะมีลักษณะคล้ายกับปรางค์ศิลปะเขมรแบบพะโค
(พ.ศ. 1425-1436) เป็นปรางค์แบบเก่า
ซึ่งมีประตูทางเข้าแบบโค้งแหลม
และถังเก็บน้ำซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้ของปรางค์ |
-----------------------------------------------------------------
วัดมณีชลขัณฑ์ |
สร้างในสมัยรัชกาลที่
4
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของตลาดท่าโพธิ์
มีโบราณสถานที่น่าสนใจคือ
พระเจดีย์รูปทรงแปลก
คือก่อเป็นเหลี่ยมสูงชะลูดขึ้นไปเหลี่ยมคล้ายกับเจดีย์เหลี่ยมสมัยเชียงแสน
(ล้านนา)
แต่ตรงมุมมีการย่อมุมไม้สิบสอง
ทำเป็นสามชั้นมีซุ้มประตูยอดแหลมอยู่ด้านข้างทั้งสี่ด้านทุกชั้น |
-----------------------------------------------------------------
วัดนครโกษา |
ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของสถานีรถไฟลพบุรีด้านทิศตะวันออกใกล้กับศาลพระกาฬ
มีซากโบราณสถานคือ
เจดีย์องค์ใหญ่สมัยทวาราวดี
พระปรางค์สมัยลพบุรีในราวพุทธศตวรรษที่
17 อยู่ด้านหน้า
แต่พระพุทธรูปปูนปั้นแบบอู่ทอง
บนปรางค์นั้นคงสร้างขึ้นภายหลัง
แลยังพบเทวรูปขนาดใหญ่
มีร่องรอยดัดแปลงเป็นพระพุทธรูป
2 องค์
ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ฯ
เทวสถานแห่งนี้ภายหลังมีผู้สร้างเป็นวัดขึ้นในสมัยอยุธยา
ดังจะเห็นได้จากซากวิหารซึ่งเหลือแต่ผนัง
และเสาอยู่ทางด้านหน้าและมีเจดีย์สูงก่อด้วยอิฐอยู่เบื้องหลัง
คำว่า "วัดนครโกษา"
มีผู้สันนิษฐานว่า
เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ
เป็นผู้บูรณะจึงเรียกว่า
"วัดนครโกษาปาน"
ตามราชทินนามนั่นเอง |
-----------------------------------------------------------------
วัดสันเปาโล |
ตั้งอยู่ถนนร่วมมิตร
ทางเข้าวิทยาลัยนาฏศิลป์ลพบุรี
เป็นวัดของพวกบาท-หลวงเยซูอิต
สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ยังคงเหลือเพียงผนังด้านหนึ่งและหอดูดาว
บริเวณโดยรอบมีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น
คำว่า "สันเปาโล"
คงเพี้ยนมาจากคำว่าเซ็นต์ปอลหรือเซ็นทเปาโล
ชาวบ้านมักเรียกว่า "ตึกสันเปาหล่อ" |
-----------------------------------------------------------------
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ |
เป็นวัดเก่าแก่และมีชื่อเสียงมากที่สุดของลพบุรีตั้งอยู่หลังสถานีรถไฟลพบุรี
อยู่ถัดไปทางทิศตะวันออกของพระปรางค์สามยอด
วัดนี้มีมาตั้งแต่สมัยขอมมีอำนาจปกครองลพบุรีอยู่แต่ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์สืบต่อมาหลายยุคหลายสมัยทำให้ศิลปกรรมที่ปรากฏเหลืออยู่จึงแตกต่างกันมาก
เมื่อเข้าไปในบริเวณวัด
จะพบศาลาเปลื้องเครื่องเป็นอันดับแรก
ศาลากลางเปลื้องเครื่องนี้ใช้เป็นที่สำหรับพระเจ้าแผ่นดินเปลื้องเครื่องทรงก่อนที่จะเข้าพิธีทางศาสนาในพระวิหารหรือพระอุโบสถ
ศาลาเปลื้องเครื่องตั้งอยู่หน้าวิหารคงเหลือเพียงเสาเอนเอียงอยู่เท่านั้น
ส่วนอื่นปรักหักพังไปหมดแล้ว
ถัดจากศาลาเปลื้องเครื่องเป็นวิหารหลวง
ซึ่งสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ
เป็นวิหารขนาดใหญ่มาก
ประตูทำเป็นเหลี่ยมแบบไทย
หน้าต่างเจาะช่องแบบโกธิคของฝรั่งเศส
ภายในสร้างฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูปทางทิศใต้ของวิหารหลวงเป็นพระอุโบสถขนาดย่อม
ประตูหน้าต่างเป็นแบบฝรั่งเศสทั้งหมด
ห่างไปทางทิศตะวันตกของวิหารหลวงเป็นพระปรางค์องค์ใหญ่ที่สูงที่สุดในลพบุรีสร้างเป็นพุทธเจดีย์
องค์ปรางค์ก่อด้วยศิลาแลงโบกปูน
มีเครื่องประดับลวดลายเป็นพระพุทธรูปและพุทธประวัติเดิมคงจะสร้างในสมัยขอมเรืองอำนาจแต่ได้รับการซ่อมแซมในสมัยสมเด็จพระราเมศวร
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิและสมเด็จพระนารายณ์ฯ
ลวดลายจึงมีปะปนกันหลายสมัย
ปรางค์องค์นี้เดิมบรรจุพระพุทธรูปไว้เป็นจำนวนมาก
ที่ขึ้นชื่อคือ
พระเครื่องสมัยลพบุรี
เช่น พระหูยาน พระร่วง
ซึ่งมีการขุดพบเป็นจำนวนมาก |
-----------------------------------------------------------------
วัดเสาธงทอง |
ตั้งอยู่บนถนนฝรั่งเศส
ซึ่งตัดเชื่อมระหว่างพระราชวังนารายณ์ฯ
กับบ้านหลวงรับราชทูตเป็นวัดเก่าแก่
เดิมแยกเป็น 2 วัด คือ
วัดรวก และวัดเสาธงทอง
พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร
เตชะคุปต์)สมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา
ได้รายงานกราบทูลเสนอความเห็นต่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส
เมื่อคราวเสด็จตรวจการคณะสงฆ์ในมณฑลอยุธยาว่า
วัดรวกมีโบสถ์ วัดเสาธง
มีวิหารสมควรจะรวมเป็นวัดเดียวกัน
ทรงดำริเห็นชอบให้รวมกันและให้เรียกชื่อว่า
วัดเสาธงทอง
วัดนี้มีโบราณสถานที่ควรชม
คือ
พระวิหารซึ่งเดิมคงสร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานของศาสนาอื่นเพราะจากแผนที่ของช่างชาวฝรั่งเศสทำไว้
ระบุว่าพื้นที่บริเวณนั้นเป็นที่พำนักของชาวเปอร์เซีย
พระวิหารหลังนี้อาจเป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนาอิสลามของชาวเปอร์เซียก็เป็นได้
นอกจากนั้นก็มีตึกปิจู
ตึกคชสารหรือตึกโคระส่าน
เป็นตึกเก่าสันนิษฐานว่าใช้เป็นที่พำนักของแขกเมือง
และราชทูตต่างประเทศชาวเปอร์เซีย |
-----------------------------------------------------------------
หมู่บ้านดินสอพอง
(ทำดินสอพอง) |
อยู่ที่บ้านหินสองก้อน
ตำบลถนนใหญ่ใช้เส้นทางไปอำเภอบ้านหมี่
ข้ามสะพาน 6
แล้วเลี้ยวซ้ายเลียบคลองชลประทาน
เป็นหมู่บ้านที่มีการทำดินสอพองกันแทบทุกครัวเรือน
และบริเวณนั้นจะมีดินสีขาว
เรียกว่า "ดินมาร์ล"
ซึ่งเป็นดินที่มีคุณสมบัติเฉพาะสำหรับการทำดินสอพอง |
-----------------------------------------------------------------
วัดยาง
ณ รังสี
และพิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้าน |
ตั้งอยู่หมู่
2 ตำบลตะลุง
อำเภอเมืองลพบุรี
ริ่มฝั่งแม่น้ำลพบุรีด้านตะวันตก
ด้านหน้าติดทางหลวงสายลพบุรี-บางประหัน
อยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศใต้ประมาณ
9 กิโลเมตร เดิมเรียกว่า
วัดพญายาง
เนื่องจากภายในบริเวณวัดมีต้นยางยักษ์ใหญ่ตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ท่ามกลางดงต้นยาง
สันนิษฐานกันว่าเดิมเป็นวัดโบราณอยู่กลางป่า
น่าจะมีอายุตั้งแต่สมัยละโว้
เพราะมีประติมากรรมหินทรายประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถของวัด
คือ พระพุทธรูปปางนาคปรก 2
องค์
พระพุทธรูปปางมารวิชัย 1
องค์
และพระพุทธรูปปางสมาธิ 1
องค์
เป็นเนื้อหินทรายและหินหนุมาน
(หินสีเขียว)
รูปทรงเป็นแบบสมัยขอมเรืองอำนาจ
ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่และเปลี่ยนชื่อใหม่ถึง
2 ครั้ง
เดิมเป็นวัดยางศรีสุธรรมาราม
แล้วเปลี่ยนเป็นวัดยาง ณ
รังสี จนถึงปัจจุบัน |
-----------------------------------------------------------------
พิพิทธภัณฑ์เรือพื้นบ้าน |
ตั้งอยู่ที่ศาลากลางเปรียญไม้
สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2470
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำลพบุรี
เป็นสถาปัตยกรรมแบบศาลาวัดในชนบทของภาคกลางในประเทศไทย
ซึ่งนับวันจะหาดูได้ยาก
ต่อมาได้มีการบูรณะซ่อมแซมแล้วเสร็จในปี
พ.ศ.2531
โครงการพิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้านจึงได้เกิดขึ้นและนับเป็นพิพิธภัณฑ์เรือพื้นบ้านแห่งแรกของประเทศไทย |
-----------------------------------------------------------------
วัดตองปุ |
หลังโรงเรียนพิบูลวิทยาลัย
ตำบลทะเลชุบศร
เป็นวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญวัดหนึ่ง
ในอดีตเคยเป็นที่ชุมนุมกองทัพไทย
ในวัดตองปุนี้มีโบราณสถานและโบราณวัตถุที่น่าสนใจหลายอย่าง
เช่น พระอุโบสถ วิหาร
หอไตรคลัง และหอระฆัง
ล้วนเป็นสถาปัตยกรรมในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ
ภายในพระวิหารมีจิตรกรรมฝาผนังเขียนรอบทั้งสี่ด้านล้วนเป็นภาพที่หาดูได้ยาก
นอจากนี้ยังมีเจดีย์ลักษณะคล้ายกับเจดีย์หลวงพ่อแสง
วัดมณีชลขัณฑ์แต่มีขนาดเล็กกว่าและสัดส่วนงดงาม |
-----------------------------------------------------------------
วัดสิริจันทรนิมิตรวรวิหาร
(วัดเขาพระงาม) |
ตั้งอยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดลพบุรีไปทางทิศเหนือตามถนนพหลโยธินประมาณ
12 กิโลเมตร
อยู่ในเขตตำบลเขาพระงาม
วัดเขาพระงามนี้เดิมเป็นวัดร้าง
สร้างมาแต่เมื่อใดไม่ปรากฏ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2455
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์
สิริจันโท)
เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาสกรุงเทพฯ
กับพระสงฆ์อีกรูปได้ธุดงค์มาพักที่วัดนี้เห็นว่ามีภูมิประเทศดี
จึงได้สร้างพระพุทธรูปที่ไหล่เขานี้
เป็นพระพุทธรูปที่มีหน้าตักกว้าง
11 วา
สูงจากหน้าตักถึงยอดพระเศียร
18 วา
เส้นพระศกทำด้วยไหกระเทียม
เมื่อสร้างเสร็จได้ถวายพระนามว่าพระพุทธนฤมิตมัธยมพุทธกาล
ครั้นภายหลังซ่อมเมื่อปี
พ.ศ. 2469
จึงเปลี่ยนนามใหม่ว่าพระพุทธปฏิภาคมัธยมพุทธกาล
มาจนทุกวันนี้
บริเวณวัดมีกิจกรรมที่กำลังเป็นที่น่าสนใจของคนทั่วไปคือ
การขายพลอยสีต่าง ๆ
ที่เจียระไนจากหินควอซท์
ซึ่งขุดได้จากบริเวณเขาพระงามเรียกว่า
"เพชรพระงาม"
ราคาพอสมควรที่นักท่องเที่ยวทุกระดับจะซื้อเป็นของที่ระลึกได้
ปัจจุบันมีแผงขายเพชรพระงามตั้งอยู่บริเวณลานหน้าวัด |
-----------------------------------------------------------------
วัดเวฬุวัน
(วัดเขาจีนแล) |
อยู่ในหุบเขาจีนแล
ตำบลนิคมสร้างตนเองอยู่ห่างจากศาลากลางจังหวัดลพบุรีประมาณ
18 กิโลเมตร
เดิมบริเวณที่ตั้งวัดนี้เป็นป่าทึบเต็มไปด้วยต้นไผ่
พระครูอุบาลี ธรรมมาจารย์ (หลวงพ่อลี)
ได้ธุดงค์มาถึงที่นี่เห็นภูมิประเทศเหมาะสมจึงได้ตั้งสำนักสงฆ์ขึ้น
วัดเขาจีนแลเป็นวัดที่สร้างขึ้นใหม่
สถานที่ร่มรื่น
มีภูเขาล้อมรอบสี่ด้าน
เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ
2 องค์ คือ
พระพุทธรูปใหญ่ที่หลวงพ่อลีสร้าง
และพระพุทธรูปที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงสร้างประดิษฐานอยู่บนยอดเขา
มีโบสถ์รูปทรงแปลก
จั่วเป็นซุ้มกุทุแบบอินเดีย
รวมถึงหอสมุดและสำนักชี |
-----------------------------------------------------------------
วัดสุวรรณคีรีปิฎก
(วัดเขาตะกร้า) |
ต้องอยู่เลยอ่างซับเหล็กเข้าไปมีถนนโรยกรวดเข้าไปถึงวัด
ใกล้กับวัดเวฬุวัน
ตำบลนิคมสร้างตนเอง
สร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.2501
โดยหลวงพ่อบุญเหลือ ปภาโส
เป็นวัดที่สร้างกุฏิและวิหารเกาะกับภูเขา
มีเจดีย์สร้างใหม่องค์หนึ่งลักษณะงดงามดี
วัดนี้ชาวไทยเชื้อสายจีนนิยมไปสักการะศพหลวงพ่อบุญเหลือ
ซึ่งมรณภาพไปตั้งแต่ พ.ศ.2517
เก็บไว้ในหีบแก้วแต่ไม่เน่าเปื่อยเพียงแต่แห้งไป |
-----------------------------------------------------------------
บ้านท่ากระยาง
(หล่อรูปโลหะและดินสอพอง) |
อยู่ในเขตอำเภอเมืองลพบุรี
หลังวัดตองปุ
เดิมเป็นหมู่บ้านช่างหล่อ
มีอาชีพหล่อพระพุทธรูปด้วยโลหะ
ต่อมาเริ่มหล่อรูปโลหะอื่นๆ
เป็นประเภท
ของที่ระลึกและเลียนแบบของเก่าด้วย
เช่น
รูปสัตว์ประจำปีนักษัตริย์
รูปหนุมาน เทวรูปพระกาฬ
ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีการทำดินสอพองเม็ดเล็กแบบเก่าอีกด้วย |
-----------------------------------------------------------------
ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดลพบุรี
|
ตั้งอยู่ภายในบริเวณสถาบันราชภัฏเทพสตรีลพบุรี
มีหน้าที่ทะนุบำรุงส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี
ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดศูนย์วัฒนธรรมนี้เมื่อวันที่
18 ตุลาคม 2524
ภายในหอวัฒนธรรมได้จัดนิทรรศการเกี่ยวกับจังหวัดลพบุรีหลายด้าน
เช่น แผนที่จังหวัด ตำนาน-นิทานพื้นบ้าน
แผ่นที่ทางภาษา
นอกจากนั้นยังเก็บรวบรวมและจัดแสดงเอกสารโบราณที่พบในจังหวัดอีกด้วย
|
-----------------------------------------------------------------
บ้านหลวงรับราชทูต
(บ้านหลวงวิชาเยนทร์) |
ตั้งอยู่บนถนนวิชาเยนทร์
ห่างจากปรางค์แขกประมาณ 300
เมตร
ทางทิศเหนือของพระนารายณ์ราชนิเวศน์
สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ทูตจากประเทศฝรั่งเศสชุดแรกที่เข้ามาเมื่อปี
พ.ศ. 2228 ได้พัก ณ
สถานที่แห่งนี้จึงได้ชื่อว่า
บ้านหลวงรับราชทูต
และเนื่องจากสถานที่นี้เป็นที่พำนักของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์
ขุนนางสำคัญในสมัยนั้นด้วย
ในภายหลังจึงได้ชื่อว่า
"บ้านวิชาเยนทร์"
อีกชื่อหนึ่ง
พื้นที่ในบริเวณบ้านหลวงรับราชทูตแบ่งออกเป็น
3 ส่วน
สังเกตได้จากประตูเข้าด้านหน้า
ซึ่งสร้างไว้สำหรับเป็นทางเข้าออกแต่ละส่วนคือ
ส่วนทิศตะวันตก ส่วนกลาง
และส่วนทางทิศตะวันออก
|
|
ส่วนทิศตะวันตกเป็นกลุ่มอาคาร
ได้แก่ตึก 2 ชั้น
หลังใหญ่ก่อด้วยอิฐ
และอาคารชั้นเดียว
แคบยาวซุ้มประตูทางเข้าเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม
ส่วนกลางมีอาคารที่สำคัญ
คือ ฐานของสิ่งก่อสร้าง
ซึ่งเข้าใจว่าเป็นหอระฆังและโบสถ์คริสตศาสนา
ซึ่งอยู่ทางด้านหลังซุ้มประตูทางเข้าเป็นรูปจั่ว
ส่วนทิศตะวันออก
ได้แก่ กลุ่มอาคารใหญ่ 2
ชั้น
มีบันไดขึ้นทางด้านหน้า
เป็นรูปโค้งครึ่งวงกลม
ซุ้มประตูทางเข้ามีลักษณะเช่นเดียวกันกับทางทิศตะวันตกลักษณะของสถาปัตยกรรมในบ้านหลวงรับราชทูตบางหลัง
เป็นแบบยุโรป
อย่างแท้จริง
โดยเฉพาะอาคารใหญ่ทางทิศตะวันออกก่ออิฐถือปูนสูง
2 ชั้น
หน้าต่างและซุ้มประตูแสดงให้เห็นลักษณะศิลปะตะวันตกแบบเรอเนสซองส์
ซึ่งเจริญแพร่หลายในระยะเวลาเดียวกัน
และที่สำคัญอีกคือ
อาคารที่เป็นโบสถ์คริสตศาสนาผังและแบบของโบสถ์เป็นแบบยุโรป
มีซุ้มประตูหน้าต่างเป็นซุ้มเรือนแก้วมีเสาปลายเป็นรูปกลีบบัวยาวซึ่งเป็นศิลปะแห่งไทย
โบสถ์เหล่านี้ถือว่าเป็นโบสถ์คริสตศาสนาหลังแรกในโลก
ที่ตกแต่งด้วยลักษณะของโบสถ์ทางพระพุทธศาสนา
|
-----------------------------------------------------------------
พระนารายณ์ราชนิเวศน์
|
|
ป็นพระราชวังสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ
พ.ศ.2209
เพื่อใช้เป็นที่ประทับ
ณ เมืองลพบุรี
แบ่งเป็นเขตพระราชฐานชั้นนอก
พระราชฐานชั้นกลาง
และพระราชฐานชั้นใน
ก่อสร้างด้วยอิฐถือปูนมีใบเสมาเรียงรายบนสันกำแพงมีซุ้มประตูทั้งหมด
11 ประตู
ช่องประตูทางเข้าโค้งแหลม
หลังคาประตูเป็นทรงจตุรมุขตรงจั่วซุ้มประตูตกแต่งลายกระจังปูนปั้นที่วิวัฒนาการมาจากดอกบัวที่ซุ้มประตูและกำแพงพระราชฐานชั้นกลางและชั้นในมีช่องเล็กๆ
เจาะเป็นรูปโค้งแหลมคล้ายบัวเรียงเป็นแถวสำหรับวางตะเกียง
ประมาณ 2,000 ช่อง
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ 4) โปรดเกล้าฯ
ให้ซ่อมแซมขึ้นใหม่ใน พ.ศ.
2399
เพื่อเป็นราชธานีชั้นในและพระราชทานชื่อว่า
"พระนารายณ์ราชนิเวศน์"
ซึ่งสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้แก่
พระที่นั่งและตึกซึ่งสร้างขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
|
-----------------------------------------------------------------
พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาท
|
Hot ! |
เป็นพระที่นั่งศิลปกรรมแบบไทยและฝรั่งเศสผสมกันท้องพระโรงมียอดแหลมทรงมณฑป
ตรงกลางท้องพระโรงมีสีหบัญชร
เป็นที่เสด็จออกเพื่อทรงมีพระราชปฏิสันถารกับผู้เข้าเฝ้า
เดิมฝาผนังประดับด้วยกระจกเงา
ซึ่งนำมาจากประเทศฝรั่งเศส
ประตูและหน้าต่างท้องพระโรง
ซึ่งอยู่ด้านหน้าทำเป็นโค้งแหลม
ส่วนตัวมณฑปซึ่งอยู่ด้านหลัง
ทำประตูหน้าต่างเป็นซุ้มแบบไทย
คือ
ซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์
ผนังด้านนอกพระที่นั่งตรงมณฑปชั้นล่างเจาะเป็นช่องโค้งแหลมไว้สำหรับวางตะเกียง
ซึ่งจะเห็นได้อีกเป็นจำนวนมากตามซุ้มประตู
และกำแพงของพระราชวัง
สมเด็จพระนารายณ์เคยเสด็จออกรับคณะราชทูตฝรั่งเศส
เชอวาเลีย เดอ โชมองต์
ที่พระที่นั่งองค์นี้ในปี
พ.ศ. 2228 ด้วย |
|
-----------------------------------------------------------------
พระที่นั่งจันทรพิศาล |
สร้างขึ้นในปี
พ.ศ.2208
เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์ฯ
ที่สร้างทับลงไปบนรากฐานเดิมของพระที่นั่งซึ่งพระราเมศวรโอสรองค์ใหญ่ของพระเจ้าอู่ทอง
ได้ทรงสร้างเมื่อครั้งครองเมือลพบุรี
พระที่นั่งองค์นี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยแท้
ด้านหน้ามีมุขเด็จ
ภายหลังเมื่อได้สร้างพระที่นั่งสุทธาสวรรค์ขึ้น
สมเด็จพระนารายณ์ฯ
ทรงย้ายไปประทับที่พระที่นั่งองค์ใหม่
และโปรดให้ใช้พระที่นั่งจันทรพิศาลเป็นที่ออกขุนนาง
ซึ่งตรงกับบันทึกของชาวฝรั่งเศสว่าเป็นหอประชุมองคมนตรี
ในสมัยรัชกาลที่ 4
ทรงบูรณะพระที่นั่งองค์นี้ตามแบบของเดิม
ปัจจุบันใช้จัดแสดงเรื่องราวพระราชประวัติของสมเด็จรพะนารายณ์มหาราชและงานประณีตศิลป์สมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ |
-----------------------------------------------------------------
พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ |
เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์ฯตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน
บันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่าพระที่นั่งองค์นี้
ตั้งอยู่ในพระราชอุทยานที่ร่มรื่น
ทรงปลูกพรรณไม้ต่าง ๆ
ด้วยพระองค์เอง
หลังคาพระที่นั่งมุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลือง
มีมุมทั้งสี่
มีสระน้ำใหญ่สี่สระเป็นที่สรงสนานของพระเจ้าแผ่นดิน
สมเด็จพระนารายณ์ฯ
สวรรคต ณ
พระที่นั่งองค์นี้ ใน พ.ศ.
2231 |
|
-----------------------------------------------------------------
ตึกพระเจ้าเหา |
ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของเขตพระราชฐานชั้นนอก
ตึกหลังนี้แสดงให้เห็นลักษณะสถาปัตยกรรม
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ได้อย่างชัดเจนมาก
เป็นตึกที่สร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
กว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร
ยกพื้นสูงขึ้นไปประมาณ
1 เมตร
ตัวตึกเป็นรูปทรงไทย
ฐานก่อด้วยศิลาแลงและจึงก่ออิฐขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง
ปัจจุบันเหลือแต่ผนังประตูหน้าต่าง
ทำซุ้มเรือนแก้วฐานสิงห์
ปัจจุบันคงปรากฏลายให้เห็นอยู่
ด้วยเหตุว่าภายในตึกมีฐานชุกชีปรากฏให้เห็นอยู่และชาวผรั่งเศสได้ระบุว่าเป็นวัด
จึงสันนิษฐานว่าเป็นหอพระประจำพระราชวัง
ตึกพระเจ้าเหาหรือ "พระเจ้าหาว"
(หาว=ท้องฟ้า
ภาษาไทยโบราณ)
ในตอนปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ
พระเพทราชาและขุนหลวงสรศักดิ์ใช้ตึกพรเจ้าเหาเป็นที่นัดแนะประชุมขุนนางและทหารเพื่อแย่งชิงราชสมบัติขณะที่สมเด็จพระนารายณ์ฯ
ทรงพระประชวรหนัก |
|
-----------------------------------------------------------------
ตึกรับรองคณะทูตต่างประเทศ |
ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก
บันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า
ตึกหลังนี้อยู่กลางอุทยานซึ่งแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส
รอบตึกมีคูน้ำล้อมรอบ
ภายในคูน้ำมีน้ำพุพุ่งเรียงรายได้
ระยะยาว 20 แห่ง
สมเด็จพระนารายณ์ฯได้พระราชทานเลี้ยงแก่คณะทูตจากประเทศฝรั่งเศส
ณ สถานที่นี้ใน พ.ศ. 2228 และ
พ.ศ. 2230 |
|
-----------------------------------------------------------------
พระคลังศุภรัตน์
(สิบสองท้องพระคลัง) |
เป็นหมู่ตึกตั้งอยู่ระหว่างถังเก็บน้ำประปาและตึก
ซึ่งใช้เป็นสถานที่พระราชทานเลี้ยงชาวต่างประเทศ
สร้างขึ้นอย่างมีระเบียบด้วยอิฐเป็น
2 แถว ยาวเรียงชิดติดกัน
อาคารมีลักษณะค่อนข้างทึบ
มีถนนผ่ากลาง
มีจำนวนรวม 12 หลัง
เข้าใจว่าเป็นคลังเพื่อเก็บสินค้าหรือเก็บสิ่งของเพื่อใช้ในราชการ |
|
-----------------------------------------------------------------
อ่างซับเหล็ก |
อยู่ในเขตตำบลนิคมสร้างตนเอง
ห่างจากศาลากลางจังหวัดลพบุรีไปทางทิศตะวันออกประมาณ
16 กิโลเมตร
อ่างซับเหล็กเป็นอ่างเก็บน้ำธรรมชาติที่มีแต่โบราณ
ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ฯ
ทรงโปรดให้ช่างชาวฝรั่งเศสและชาวอิตาเลียนเป็นผู้วางท่อส่งน้ำจากอ่างซับเหล็กนำมาใช้ในเขตพระราชฐาน
อ่างซับเหล็กมีเนื้อที่ประมาณ
1,760 ไร่ เมื่อปี พ.ศ. 2497
สมัยจอมพลป.
พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี
ได้ให้สร้างเขื่อนดินกั้นน้ำเพื่อเก็บน้ำไว้ใช้เพื่อการเกษตร
ต่อมาในปี พ.ศ.2520
จังหวัดลพบุรีได้ปรับปรุงอ่างซับเหล็กให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
โดยทำถนนรอบอ่างเก็บน้ำ
ปลูกต้นไม้และสร้างศาลาพักร้อน |
-----------------------------------------------------------------
โรงช้างหลวง |
ตั้งเรียงรายเป็นแถวชิดติดริมกำแพงเขตพระราชฐานชั้นนอกด้านในสุด
โรงช้างส่วนใหญ่ปรักหักพังเหลือแต่ฐานปรากฏให้เห็นประมาณ
10 โรง
ช้างซึ่งยืนโรงในพระราชวัง
คงเป็นช้างหลวงหรือช้างสำคัญ
สำหรับใช้เป็นพาหนะของสมเด็จพระนารายณ์ฯ
เจ้านายหรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่ |
-----------------------------------------------------------------
พระที่นั่งและตึก
(สร้างในรัชสมัย ร. 4)
พระที่นั่งและตึกซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
|
หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฏ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ
ให้สร้างหมู่พระที่นั่งองค์นี้ขึ้นใน
พ.ศ. 2405
ประกอบด้วยพระที่นั่งต่าง
ๆ
คือมุขด้านซ้ายมือพระที่นั่งอักษรศาสตราคมเป็นที่ทรงพระอักษร
มุขด้านขวามือคือ
พระที่นั่งไชยศาสตรากรเป็นที่เก็บอาวุธ
พระที่นั่งองค์ขวางตรงกลาง
คือพระที่นั่งวิสุทธิวินิจฉัยใช้เป็นท้องพระโรงเสด็จออกว่าราชการ
ด้านหลังสุดเป็นอาคารสูง
3 ชั้น
คือพระที่นั่งพิมานมงกุฏ
เป็นที่ประทับส่วนพระองค์
หมู่ตึกพระประเทียบ
ตั้งอยู่บริเวณหลังพระที่นั่งพิมานมงกุฏ
ซึ่งเป็นเขตพระราชฐานฝ่ายในก่อด้วยอิฐถือปูนสูง
2 ชั้น เรียงรายอยู่ 8
หลัง
สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พักของข้าราชการฝ่ายใน
ทิมดาบหรือที่พักของทหารรักษาการณ์
เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าเขตพระราชฐานชั้นกลาง
ข้างประตูทั้งสองด้านตรงบริเวณสนามหญ้า
จะแลเห็นศาลาโถงข้างละหลัง
นั่นคือตึกที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักของทหารรักษาการณ์ในเขตพระราชวัง |
-----------------------------------------------------------------
พิพิธัณฑสถานแห่งชาติ
สมเด็จพระนารายณ์
|
ได้มีการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขึ้นในพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์
นับเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติแห่งที่
3 ของประเทศไทย
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ฯ
ลพบุรี
ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.
2466อาคารจัดแสดงศิลปโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ฯ
จัดแบ่งออกเป็นห้องต่างๆ
ดังนี้
ห้องพระที่นั่งจันทรพิศาล
เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมแบบทรงไทย
จัดแสดงเรื่องประวัติศาสตร์
การเมือง สังคม
วัฒนธรรม
และพระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ห้องพระที่นั่งพิมานมงกุฏ
เป็นลักษณะสถาปัตยกรรมผสมแบบตะวันตก
จัดแสดงเรื่องสมัยก่อนประวัติศาสตร์
จัดแสดงหลักฐานโบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่พบจากแหล่งโบราณคดีลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณภาคกลางของประเทศไทยและแหล่งโบราณคดี
จังหวัดลพบุรี
โครงกระดูกมนุษย์
ภาชนะดินเผา เตาดินเผา
เครื่องมือเครื่องใช้ทำจากโลหะภาชนะสำริด
เครื่องประดับทำจากหินและเปลือกหอย
เป็นต้น
ห้องภาคกลางประเทศไทย
พ.ศ.800-1500
รับอิทธิพลวัฒนธรรมของอินเดียที่เรียกว่า
สมัยทวารวดี
จัดแสดงเรื่องการเมือง
การตั้งถิ่นฐานเทคโนโลยีและการดำเนินชีวิต
อักษร ภาษา ศาสนาสถาน
ศาสนาและความเชื่อถือหลักฐานที่พบได้แก่
พระพุทธรูป
พระพิมพ์ดินเผา
เหรียญตราประทับดินเผาจารึกภาษาบาลี
สันสกฤต
และรูปเคารพต่างๆ
ห้องอิทธิพลศิลปะเขมร-ลพบุรี
ที่พบในภาคกลางของประเทศไทยอายุราวพุทธศตวรรษที่
15-18
จัดแสดงหลักฐานทางประวัติศาสตร์
โบราณคดีสมัยชนชาติขอมแผ่อิทธิพลเข้าปกครองเมืองลพบุรี
และบริเวณภาคกลางของประเทศไทย
ได้แก่ ทับหลัง
พระพุทธรูปปางนาคปรก
พระพุทธรูปปางประทางอภัย
เป็นต้น
ห้องประวัติศาสตร์ศิลปะในประเทศไทย
ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่
12-18
ศิลปกรรมที่พบตามภาคต่างๆ
ของประเทศไทย ได้แก่
ศิลปะแบบหริภุญไชย
ศิลปะล้านนา
ศิลปะสมัยลพบุรี
เป็นต้น
ได้แก่พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
พระพิมพ์
และพระพุทธรูปสำริดสมัยต่างๆ
ห้องประวัติศาสตร์ศิลปกรรมสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์
ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่
18-24 ได้แก่ พระพุทธรูป
เครื่องถ้วย เงินตรา
อาวุธ เครื่องเงิน
เครื่องทอง
และชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมปูนปั้น
และไม้แกะสลักต่างๆ
ห้องศิลปร่วมสมัย
จัดแสดงภาพเขียนและภาพพิมพ์ศิลปะร่วมสมัยของศิลปินไทย
ห้องประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม
วัฒนธรรมและพระราชประวัติของสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ 4)
ซึ่งโปรดฯ
ให้และสร้างพระราชวัง
ณ เมืองลพบุรี เมื่อ พ.ศ.2399
ได้แก่
ภาพพระสาทิสลักษณ์ฉลองพระองค์
เครื่องใช้ แท่นบรรทม
เหรียญทอง
และจานชามมีสัญลักษณ์มีรูปมงกุฏตราประจำพระองค์
เป็นต้น
ห้องหมู่ตึกพระประเทียบ
เป็นอาคารลักษณะสถาปัตยกรรมผสมแบบตะวันตก
จัดแสดงเรื่องชีวิตไทยภาคกลาง
การดำรงชีวิต
ที่อยู่อาศัย
เครื่องมือเครื่องใช้ประกอบอาชีพประมง
การเกษตร
และศิลปหัตกรรมพื้นบ้านของคนไทยในภาคกลาง
โดยเฉพาะจังหวัดลพบุรีที่ใช้ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ทางพิพิธภัณฑ์ฯ
ยังมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
โบราณคดี
และศิลปวัฒนธรรมให้ชมกันเป็นครั้งคราว
การเข้าชม
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสมเด็จพระนารายณ์ฯ
เปิดให้เข้าชมทุกวัน
ตั้งแต่เวลา 8.30-16.30 น.
หยุดวันจันทร์-วันอังคารและวันหยุดนักขัตฤกษ์
การเข้าชมผู้เข้าชมจะต้องเสียค่าเข้าชม
ชาวไทยคนละ 10 บาท
ชาวต่างประเทศ 30
ติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
สมเด็จพระนารายณ์
ถนนสรศักดิ์ อำเภอเมือง
จังหวัดลพบุรี 15000 โทร.(036)411458 |
|