ตั้งอยู่ในวัดบูรพากู่กาสิงห์ ตำบลกู่กาสิงห์
อำเภอเกษตรวิสัย สามารถเดินทางได้ 2 ทาง คือ ใช้เส้นทางร้อยเอ็ด-เกษตรวิสัย
ทางหลวงหมายเลข 214 ระยะทาง 47 กม.
เดินทางต่อไปตามทางหลวงสายเกษตรวิสัย-สุวรรณภูมิ ประมาณ 10 กม.
มีทางแยกขวากู่กาสิงห์เป็นระยะทางอีก10 กม.
หรืออาจใช้เส้นทางสายร้อยเอ็ด-สุวรรณภูมิ-สุรินทร์ (ทางหลวงหมาย เลข 215
ต่อด้วย214) ระยะทาง 60 กม. ถึงวัดกู่พระโกนา
ด้านตรงข้ามวัดมีทางแยกไปกู่กาสิงห์ ระยะทางอีก18 กม.
กู่กาสิงห์
เป็นสถาปัตยกรรมแบบเขมรอีกแห่งหนึ่ง มีขนาดค่อนข้างใหญ่และยังอยู่ในสภาพดีพอควร
ขณะนี้หน่วยศิลปากรที่ 6
กรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดแต่งและบูรณะให้เห็นสภาพชัดเจนสวยงามยิ่งขึ้น
เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ประกอบด้วย
ปรางค์ 3 องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน
มีวิหารหรืออาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เรียกว่าบรรณาลัยอยู่ทางด้านหน้าทั้งสองข้าง
ทั้งหมดล้อมรอบด้วยกำแพงซึ่งมีซุ้มประตูทั้ง 4 ทิศ
ถัดออกไปเป็นคูน้ำรูปเกือกม้าล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง
ปรางค์ประธานหรืออาคารหลักที่มี 3 องค์นั้น
ตั้งเรียงอยู่บนฐานเดียวกันในแนวเหนือ-ใต้ แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ปรางค์องค์กลางมีขนาดใหญ่กว่าอีก 2 องค์ที่ขนาบข้าง
และมีมุขยื่นทางด้านหน้าเป็นห้องยาว มีประตูทางเข้า 3 ทาง คือด้านหน้า
และด้านข้างของห้องยาวทั้งสอง
ส่วนฐานขององค์ปรางค์ก่อด้วยศิลาทรายยังคงปรากฏลวดลายสลักเป็นชั้นเป็นแนว เช่น
ลายกลีบบัวและลายกนก ผนังก่ออิฐ ที่ห้องในสุดหรือส่วนครรภคฤหะได้ค้นพบศิวลึงค์
ซึ่งเป็นตัวแทนของเทพคหวามอุดมสมบูรณ์ตามลัทธิความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย
นอกจากนี้ยังพบทับหลังอีกหลายชิ้น
ชิ้นหนึ่งสลักเป็นภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณในซุ้มเรือนแก้ว
โดยยืนอยู่เหนือหน้ากาลซึ่งมีมือยึดจับท่อนพวงมาลัยอีกทีหนึ่ง
และยังได้พบซุ้มหน้าบันสลักเป็นภาพ
พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณท่ามกลางลายก้านขดอีกด้วย ส่วนปรางค์อีก 2
องค์ที่ขนาบนั้น มีขนาดและลักษณะเดียวกัน ฐานก่อด้วยศิลาทราย
ผนังก่ออิฐมีประตูเพียงด้านหน้า ภายในมีแท่นรูปเคารพ
วางอยู่จากลวดลายของศิลปกรรม แบบแผนผังและโบราณวัตถุที่พบแสดงให้ทราบว่า
กู่กาสิงห์สร้างขึ้น ในแบบศิลปะเขมรที่เรียกว่า "แบบบาปวน" อายุราว พ.ศ.
1560-1630 เพื่อเป็นเทวสถานอุทิศถวายแด่พระอิศวร
เทพเจ้าสูงสุดองค์หนึ่งในศาสนาพราหมณ์