เป็นเก่าแก่คู่เมืองสุพรรณ
ตั้งอยู่นอกเมืองโบราณทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสุพรรณบุรี
( ท่าจีน )
เป็นวัดร้างไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างที่แน่ชัด
มีเพียงความในพงศาวดารเหนือระบุว่า พระเจ้ากาแตโปรดฯ
ให้มอญน้อยออกไปสร้างวัดสนามไชยเมื่อคราวที่พระองค์เสด็จมาเสวยราชย์
ณ เมืองพันธุมบุรี เมื่อ พ.ศ.1706 ความว่า
“
ขณะนั้นพระเจ้ากาแตเป็นเชื้อมาแต่นเรศร์หงสาวดี
ได้มาเสวยราชสมบัติ
แล้วมาบูรณะวัดโปรดสัตว์วัดหนึ่ง
วัดภูเขาทองวัดหนึ่ง วัดใหญ่วัดหนึ่ง
สามวัดนี้แล้วจึงให้มอญน้อยเป็นเชื้อมาแต่พระองค์ออกไปสร้างวัดสนามชัย
แล้วมาบูรณะวัดพระป่าเลไลยก์ในวัดลานมะขวิดแขวงเมืองพันธุมบุรี
ข้าราชการบูรณะวัดแล้ว ก็ช่วยกันบวชสิ้นสองพันคน
จึงขนานนามเมืองใหม่ชื่อว่าเมืองสองพันบุรี
แล้วพระองค์จึงยกนาเป็นส่วนสัดไว้
พระองค์อยู่ในราชสมบัติ 40 ปี จึงสวรรคต จุลศักราช
565 ขาลเบญจศก ”
|
|
น่าเชื่อว่าในสมัยที่เมืองสุพรรณบุรีเจริญรุ่งเรืองวัดสนามไชยคงเป็นวัดที่สำคัญของเมืองวัดหนึ่ง
จนเมื่อกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2310
เมืองสุพรรณบุรีถูกทิ้งร้างไป
วัดสนามไชยก็คงถูกทิ้งร้างไปในคราวเดียวกัน
ภายในบริเวณวัดมีฐานเจดีย์ทรงสิบหกเหลี่ยมขนาดใหญ่เป็นประธานของวัด
ส่วนยอดหักพังหมดแล้ว เหลือเพียงฐานชั้นล่าง
เชื่อกันว่าองค์เจดีย์นี้น่าจะเป็นต้นแบบของศิลปกรรมแบบอู่ทองหรือสุพรรณภูมิในช่วงแรกๆ
อันเป็นต้นแบบของเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมในระยะต่อมา
ภายในองค์เจดีย์กลวงเป็นห้องสี่เหลี่ยม เมื่อปี พ.ศ.
2504-2505
กรมศิลปากรทำการขุดแต่งองค์เจดีย์พบอัฐิธาตุป่นปนอยู่กับเถ้าถ่านเป็นจำนวนมาก
บรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์ด้านทิศตะวันออก
เชื่อกันว่าเป็นอัฐิของทหารที่เสียชีวิตในการทำสงครามกับพม่าบนแผ่นดินเมืองสุพรรณบุรีครั้งกรุงศรีอยุธยา
อย่างไรก็ตามสำนักงานศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี
ได้ทำการขุดตรวจฐานเจดีย์และแนวกำแพงล้อมรอบเจดีย์อีกครั้งเมื่อ
พ.ศ. 2547-2548
ผลการขุดตรวจสันนิษฐานว่าเจดีย์ประธานวัดสนามไชยนี้น่าจะสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่
20
ในบริเวณที่มีชุมชนอยู่อาศัยค่อนข้างหนาแน่นมาแต่เดิมตั้งแต่เมื่อราวพุทธศตวรรษที่
19 โดยมีระเบียงคตล้อมรอบเจดีย์ประธาน
นอกระเบียงคตทางทิศตะวันตกเป็นอุโบสถ
ส่วนทางทิศตะวันออกเป็นวิหาร
การขึ้นทะเบียน
กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนวัดสนามชัย (ร้าง)
เป็นโบราณสถานของชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม
52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478
และประกาศระวางแนวเขตในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 98 ตอนที่
177 วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2524 เนื้อที่ประมาณ 6 ไร่
50.25 ตารางวา และประกาศเพิ่มเติมในราชกิจจานุเบกษา
เล่ม 106 ตอนที่ 140 วันที่ 29 สิงหาคม 2532
เนื้อที่ประมาณ 51 ไร่ 65 ตารางวา