|
วรรณกรรม ของ สุนทรภู่ ด้าน นิทาน สุภาษิต
บทละคร เสภา บทเห่กล่อม
วรรณกรรมของสุนทรภู่
มีอยู่มากมาย มีทั้งที่เป็น
ประเภทกลอน หรือ นิราศมี ๙ เรื่อง
ผลงานด้าน อื่นๆ ของท่าน มีดังนี้
ประเภทนิทานมี ๕ เรื่อง
1. โคบุตร 2. พระอภัยมณี 3. พระไชยสุริยา 4. ลักษณะวงศ์ 5. สิงหไกรภพ
ประเภทสุภาษิต มี ๒ เรื่อง 1.
สุภาษิตหญิง 2.สวัสดิรักษา 3. เพลงยาวถวายโอวาท
ประเภทบทละคร มี ๑ เรื่อง 1.
อภัยนุราช
ประเภทเสภา มี ๒ เรื่อง 1.
ขุนช้างขุนแผน ตอนกำเนิดพลายงาม 2. พระราชพงศาวดาร
ประเภทบทเห่กล่อม มี ๔
เรื่อง 1. จับระบำ 2. กากี 3. พระอภัยมณี 4. โคบุตร
แนะนำที่พักที่น่าสนใจ
(1)
แนะนำที่พักที่น่าสนใจ
(2)
แนะนำที่พักที่น่าสนใจ
(3)
ในสมัยก่อน ยังไม่มีคำว่า นิยาย หรือนวนิยาย
เรื่องบันเทิงต่างๆ ยังใช้เรียกกันว่า "นิทาน" ทั้งนั้น
แต่เดิมนิทานมักแต่งด้วยลิลิต ฉันท์ หรือกาพย์ นายเจือ
สตะเวทิน ได้กล่าวยกย่องสุนทรภู่ในการริเริ่มใช้
กลอนสุภาพบรรยายเรื่องราวเป็นนิทาน ดังนี้ว่า
"ท่านสุนทรภู่ ได้เริ่มศักราชใหม่แห่งการกวีของเมืองไทย
โดยสร้างโคบุตรขึ้นด้วยกลอนสุภาพ นับตั้งแต่เดิมมา
เรื่องนิทานมักเขียนเป็นลิลิต ฉันท์ หรือกาพย์
สุนทรภู่เป็นคนแรกที่เสนอศิลปะของกลอน สุภาพ
ในการสร้างนิทานประโลมโลก และก็เป็นผลสำเร็จ
โคบุตรกลายเป็นวรรณกรรมแบบฉบับที่นัก แต่งกลอนทั้งหลายถือเป็นครู
นับได้ว่า โคบุตรมีส่วนสำคัญยิ่งในประวัติวรรณคดีของชาติไทย"
คุณวิเศษของท่านสุนทรภู่ที่ทำให้นิทานของท่านโดดเด่นกว่านิทานเรื่องอื่นๆ
นอกจากในกระบวน กลอนที่สันทัดจัดเจนเป็นอย่างยิ่งแล้ว
ความเป็นปราชญ์ของท่านก็แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้ง โดยการสอด
แทรกคติทั้งทางพุทธทางพราหมณ์ ความรู้ในวรรณกรรมโบราณ
คัมภีร์ไตรเพท และความรู้อันน่าอัศจรรย์ เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ของโลก
ซึ่งกาญจนาคพันธุ์ (ขุนวิจิตรมาตรา)
ได้กล่าวไว้อย่างละเอียดน่าสนใจอย่างยิ่ง
ใน "ภูมิศาสตร์สุนทรภู่"
มีการวิจารณ์กันว่า
กลอนนิทานเรื่องลักษณวงศ์ และสิงหไตรภพนั้น
สำนวนอ่อนกว่าเรื่อง
พระอภัยมณีมากนัก
ไม่น่าที่ท่านสุนทรภู่จะแต่งเรื่องพระอภัยมณีก่อน ในเรื่องนี้
คุณ.... มีความเห็นว่า เรื่องลักษณวงศ์และสิงหไตรภพนั้น
สุนทรภู่อาจจะเป็นเพียงผู้คิดเรื่องและเริ่มกลอนให้ แต่ผู้แต่งจริงๆ
คงเป็นลูกศิษย์ของท่าน และท่านสุนทรภู่ช่วยตรวจทานให้
สำหรับเรื่องพระไชยสุริยา
ท่านสุนทรภู่แต่งด้วยกาพย์ สำหรับใช้เป็นแบบเรียนเขียนอ่านของ
เจ้านายน้อยๆ พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง จึงไล่ลำดับความยากง่ายของการอ่าน
ตั้งแต่แม่ ก กา เป็นต้น
ประเภทนิทาน มี 5 เรื่อง
1.นิทานโคบุตร
2.พระอภัยมณี
-
พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา
-
นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี
3.พระไชยสุริยา
4.ลักษณะวงศ์
5.สิงหไกรภพ
|
|
1.นิทานโคบุตร |
เป็นนิทานเรื่องแรกของสุนทรภู่
แต่งขึ้นเพื่อถวายเจ้านายในพระราชวังหลังพระองค์หนึ่ง
เป็นเรื่องเกี่ยวกับ โคบุตรซึ่งเป็นลูกของพระอาทิตย์และนางอัปสร
โดยฝากเลี้ยงไว้กับพญาราชสีห์ และนางไกรสร
เมื่อเจริญชันษาโคบุตรซึ่งได้รับของวิเศษจากพระอาทิตย์ คือ แหวน
และสังวาล
และได้รับมอบใบยาวิเศษที่สามารถชุบชีวิตคนตายให้มีชีวิตได้จากราชสีห์
ต่อจากนั้นจึงเป็นเรื่องาวการผจญภัยของโคบุตร
ดังที่จะคัดมาตอนหนึ่งในตอนท้ายที่โคบุตรมีพระมเหสีสองคน คือ
นางอำพันมาลา และมณีสาคร
นางอำพันมาลาเห็นโคบุตรรักนางมณีสาครมากกว่าตน
จึงทำเสน่ห์ให้โคบุตรหลงรัก แต่อรุณกุมารได้แก้ไขเสน่ห์
โคบุตรโกรธมากถึงกับสั่งประหาร แต่อรุณกุมารขอร้อง
โคบุตรจึงขับไล่นางอำพันมาลาออกจากวัง ดังต่อไปนี้ |
|
|
โฉมอำพันมาลาน้ำตาไหล |
เห็นชาวในพระสนมมาคับคั่ง |
ค่อยหยุดยืนฝืนองค์ทรงประทัง |
เหลียวมาสั่งสาวสวรรค์กำนัลใน |
จงปกป้องครองกันเป็นผาสุก |
อย่ามีทุกข์เศร้าสร้อยละห้อยไห้ |
เรามีกรรมจำลาเจ้าคลาไคล |
หักพระทัยออกจากทวารา |
2.พระอภัยมณี
เมื่อกล่าวถึงสุนทรภู่
ต้องนึกถึงเรื่องพระอภัยมณี และถ้าพูดถึงพระอภัยมณี
ก็ต้องนึกถึงสุนทรภู่เป็นคู่กัน
เรื่องพระอภัยมณีโด่งดังมานานมาก สมเด็จฯ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ทรงกล่าวไว้ในคำอธิบายว่าด้วยเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่
ตอนหนึ่งว่า "เมื่อข้าพเจ้ายังเยาว์
เป็นสมัยแรกมีหนังสือเรื่องพระอภัยมณีพิมพ์ขาย
ครั้งนั้นเห็นคนชั้นผู้ใหญ่ทั้งผู้ชายผู้หญิง
ชอบอ่านเรื่องพระอภัยมณีแพร่หลาย
ถึงจำกลอนในเรื่องพระอภัยมณีไว้กล่าวเป็นสุภาษิตได้มากบ้างน้อยบ้างแทบจะไม่เว้นตัว"
หมอสมิท ซึ่งเข้ามาตั้งโรงพิมพ์ในกรุงเทพฯ
สมัยรัชกาลที่ ๕ ไล่ๆ กับหมอบรัดเลย์
ได้เป็นผู้พิมพ์ผลงานของท่านสุนทรภู่
ขายดิบขายดีจนร่ำรวย ถึงแก่ออกตามหาทายาทของสุนทรภู่
เพื่อมอบเงินรายได้ส่วนหนึ่งให้ ทำให้เราได้ทราบว่า
ทายาทของท่านสุนทรภู่ใช้นามสกุลต่อมาว่า "ภู่เรือหงษ์"
เหตุที่พระอภัยมณีโด่งดังเป็นที่สุด
น่าจะมาจากความแปลกแหวกแนวของท่านสุนทรภู่นั่นเอง
แม้พระเอกของเรื่องจะยังเป็นโอรสเจ้าเมืองเหมือนนิทานจักรๆ
วงศ์ๆ เรื่องอื่น
แต่แทนที่พระเอกคนนี้จะไปเรียนวิชากษัตริย์ วิชานักรบ
กลับไปเรียนดนตรี
การออกผจญภัยของพระเอกคนนี้ก็ไม่ได้เจอแค่ยักษ์หรือเทวดาอย่างเรื่องอื่นๆ
แต่มีทั้งผีเสื้อสมุทร นางเงือก โจรสลัด แขก ฝรั่ง
อาหรับ จีน ฮินดู ฤาษี ชีเปลือย ฯลฯ
แล้วยังฉากหลังของเนื้อเรื่องที่เป็นดินแดนผจญภัยอีกเล่า
กลับไปอยู่นอกสมุทรอ่าวไทยเสียนี่ !!
ความพิสดารของเนื้อเรื่องประกอบกับความสามารถในเชิงการประพันธ์ของท่านสุนทรภู่ทำให้นิทานเรื่องนี้โดดเด่นมาเป็นร้อยๆ
ปีอย่างไม่มีเรื่องใดเทียบได้
พระอภัยมณี เป็นกลอนนิทานที่มีความยาวมากถึง ๙๕
เล่มสมุดไทย แบ่งเป็น ๖๔ ตอน ยังไม่สามารถระบุได้ว่า
ท่านสุนทรภู่แต่งตอนใด เมื่อใด ให้ใคร
มีกล่าวกันหลายลักษณะ
บ้างก็ว่าท่านแต่งเมื่อครั้งตกยากหรือต้องจำคุก
บ้างก็ว่าท่านแต่งถวายเจ้านายที่ให้ความอุปการะ
เช่นพระองค์เจ้าลักขณานุคุณบ้าง
กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพบ้าง ดังนี้
การเล่าเรื่องพระอภัยมณีในที่นี้
ผู้จัดทำยังไม่มีเวลาเสาะหาต้นฉบับที่เป็นกลอนนิทานสมบูรณ์ทั้งเรื่อง
จึงจำเป็นต้องจับความจากหนังสือหลายเล่ม
เพื่อรวบรวมเนื้อหาส่วนที่เป็นกลอนให้ได้มากที่สุด
ส่วนที่ไม่มีกลอน จึงจะเล่าพรรณนาด้วยโวหารธรรมดา
แม้จะยังไม่สามารถแสดงกลอนนิทานได้ครบทั้งเรื่อง
แต่อัจฉริยภาพของท่านสุนทรภู่ก็ไม่ได้ถูกบดบังหรือลดทอนไปเลยแม้แต่น้อย
"นิทาน"
พระอภัยมณี
ตอนที่ ๑
พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณเรียนวิชา
เรื่องย่อ
พระอภัยมณีและศรีสุวรรณ
เป็นโอรสของท้าวสุทัศน์และพระนางประทุมเกสรแห่งกรุงรัตนา
เมื่อทั้งสองพระองค์
เจริญพระชันษาถึงเวลาต้องเรียนหนังสือ
ท้าวสุทัศน์จึงส่งพระโอรสไปศึกษาวิชากับทิศาปาโมกข์
ตามโบราณ ราชประเพณี
พระอภัยมณีและศรีสุวรรณออกเดินทางไปจนถึงหมู่บ้านจันตคาม
พบทิศาปาโมกข์สองคน
คนหนึ่งชำนาญทางปี่
อีกคนหนึ่งชำนาญทางกระบอง
ทั้งสองคนมีความเลื่อมใส
จึงสมัครเป็นศิษย์ขอเรียนวิชาอยู่ในสำนัก
นั้น พระอภัยมณีเรียนเป่าปี่
ส่วนศรีสุวรรณเรียนการต่อสู้ด้วยกระบอง
ครั้นเรียนสำเร็จแล้ว
พระอภัยมณีและศรีสุวรรณก็ลาอาจารย์ทิศาปาโมกข์กลับบ้านเมือง
แต่เมื่อท้าวสุทัศน์
ทรงทราบว่าพระโอรสไปเรียนวิชาอะไรมา
ก็กริ้วนัก ว่าเลือกเรียนวิชาชั้นต่ำ
ไม่สมกับเป็นโอรสของกษัตริย์ จึง
ขับไล่พระโอรสทั้งสองออกจากบ้านเมือง
ทั้งสองคนเดินทางร่อนเร่ไปได้รับความลำบากนัก
ศรีสุวรรณยังปลอบโยน พระอภัยมณี
เป็นคติเตือนใจถึงคุณค่าของการมีวิชาความรู้ว่า
มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร |
ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี |
|
|
พระอภัยมณีและศรีสุวรรณเดินทางผ่านป่าเขาลำเนาไพรมาจนถึงชายทะเลแห่งหนึ่ง
ในกลอนกล่าวถึง
ว่า "มหิงษสิงขร" และยังมีคำว่าสิงขรอีกหลายแห่ง
จนกาญจนาคพันธุ์เชื่อว่าไม่ใช่กลอนพาไป
แต่เป็นการจงใจระบุถึงชื่อนี้จริง ๆ นั่นก็คือ
"ด่านสิงขร" ชายทะเลเขตไทยทางด้านอ่าวอันดามัน
ที่ริมชายทะเลนี้
ทั้งสองพระองค์ได้พบกับพราหมณ์สามสหาย
คือโมราผู้มีวิชาผูกสำเภายนต์สานน ผู้มีความ
สามารถเรียกลมฝน และวิเชียร ผู้เชี่ยวชาญการยิงธนู
สามารถยิงได้ทีละเจ็ดลูก
เมื่อไต่ถามทำความรู้จักกันแล้ว
พราหมณ์ทั้งสามสงสัยว่า
วิชาดนตรีของพระอภัยมณีนั้นดีอย่างไร
พระอภัยมณีจึงเป่าปี่ให้ฟัง ทำให้พราหมณ์ทั้งสาม
และศรีสุวรรณหลับไป
๏ แต่ปางหลังยังมีกรุงกษัตริย์
สมมุติวงศ์ทรงนามท้าวสุทัศน์
อันกรุงไกรใหญ่ยาวสิบเก้าโยชน์
สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชาชี
มีเอกองค์นงลักษณ์อัครราช
สนมนางแสนสุรางคนิกร
มีโอรสสององค์ล้วนทรงลักษณ์
ชื่ออภัยมณีเป็นพี่ยา
อันกุมารศรีสุวรรณนั้นเป็นน้อง
พึ่งโสกันต์ชันษาสิบสามปี
สมเด็จท้าวบิตุรงค์ดำรงราชย์
จะเสกสองครองสมบัติขัตติยา
จึงดำรัสตรัสเรียกโอรสราช
พ่อจะแจ้งเจ้าจงจำคำโบราณ
ย่อมพากเพียรเรียนไสยศาสตร์เวท
ได้ป้องกันอันตรายนครา
พระลูกรักจักสืบวงศ์กษัตริย์
หาทิศาปาโมกข์ชำนาญชาญ
|
ผ่านสมบัติรัตนานามธานี
ภูเขาโขดเป็นกำแพงบูรีศรี
ชาวบุรีหรรษาสถาวร
พระนางนาฏนามปทุมเกสร
ดังกินนรน่ารักลักขณา
ประไพพักตร์เพียงเทพเลขา
พึ่งแรกรุ่นชันษาสิบห้าปี
เนื้อดังทองนพคุณจำรุญศรี
พระชนนีรักใคร่ดังนัยนา
แสนสวาทลูกน้อยเสน่หา
แต่วิชาสิ่งใดไม่ชำนาญ
มาริมอาสน์แท่นสุวรรณแล้วบรรหาร
อันชายชาญเชื้อกษัตริย์ขัตติยา
สิ่งวิเศษสืบเสาะแสวงหา
ตามกษัตริย์ขัตติยาอย่างโบราณ
จงรีบรัดเสาะแสวงแห่งสถาน
เป็นอาจารย์พากเพียรเรียนวิชาฯ
|
๏ บัดนั้นพี่น้องสองกษัตริย์
จึงทูลความตามจิตเจตนา
หวังแสวงไปตำแหน่งสำนักปราชญ์
ก็สมจิตเหมือนลูกคิดทุกคืนวัน
แล้วก้มกราบบิตุราชมาตุรงค์
จะเดินทางกลางป่าพนาดอน
จะพูดจาสารพัดบำหยัดยั้ง
แม้นหลับนอนผ่อนพ้นที่ภัยพาล
พระพี่น้องสององค์ทรงสดับ
พระเชษฐาบัญชาชวนน้องชาย
แล้วแต่งองค์สอดทรงเครื่องกษัตริย์
แล้วลีลามาสถิตบนแท่นทอง
จึงชวนกันจรจรัลจากสถาน
ศศิธรจรแจ้งกระจ่างตา
|
ประนมหัตถ์อภิวันท์ด้วยหรรษา
ลูกคิดมาจะประมาณก็นานครัน
ซึ่งรู้ศาสตราเวทวิเศษขยัน
พอแสงจันทร์แจ่มฟ้าจะลาจร
ทั้งสององค์ลูบหลังแล้วสั่งสอน
จงผันผ่อนตรึกจำคำโบราณ
จนลุกนั่งน้ำท่ากระยาหาร
อดบันดาลโกรธขึ้งจึงสบาย
เคารพรับบังคมด้วยสมหมาย
มาสรงสายสาคเรศบนเตียงรอง
เนาวรัตน์เรืองศรีไม่มีสอง
จนย่ำฆ้องสุริยนสนธยา
ออกทวารเบื้องบูรพทิศา
ทั้งสองราเดินเรียงมาเคียงกันฯ
|
๏ ล่วงตำบลชนบทไปหลายบ้าน
เสียงเสือกวางกลางเนินพนมวัน
จนแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้า
คณานกเริงร้องคะนองไพร
ทั้งสององค์เหนื่อยอ่อนเข้าผ่อนพัก
ครั้นหายเหนื่อยเมื่อยล้าอุตส่าห์เดิน
บ้างผลิดอกออกผลพวงระย้า
พระอภัยมณีศรีสุวรรณ
พระพี่เก็บกาหลงส่งให้น้อง
พระน้องเก็บมะลุลีให้พี่ยา
เห็นมะม่วงพวงผลพึ่งสุกห่าม
อร่อยหวานปานเปรียบรสนมเนย
ครั้นสิ้นแสงสุริยาทิพากร
ทั้งสองแสนเหนื่อยยากลำบากองค์
พระเชษฐาอาลัยถึงไอศวรรย์
น้องคะนึงถึงพี่เลี้ยงแลนางนม
|
เข้าดอนด่านแดนไพรพอไก่ขัน
ให้หวั่นหวั่นวังเวงหวาดฤทัย
พระสุริยาเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมไศล
เสียงเรไรจักจั่นสนั่นเนิน
หยุดสำนักลำเนาภูเขาเขิน
พิศเพลินมิ่งไม้ในไพรวัน
ปีบจำปาสุกรมนมสวรรค์
ต่างชิงกันเก็บพลางตามทางมา
เดินประคองเคียงกันด้วยหรรษา
ทั้งสองราเดินดมแล้วชมเชย
ทำไม้ง่ามน้อยน้อยสอยเสวย
อิ่มแล้วเลยล่วงทางมากลางดง
สำนักนอนเนินผาป่าระหง
บาทบงสุ์บวมบอบระบมตรม
กับกำนัลน้อยน้อยนางสนม
กับบรมบิตุเรศพระมารดาฯ
|
๏
สิบห้าวันดั้นเดินในไพรสณฑ์
เรียกว่าบ้านจันตคามพราหมณ์พฤฒา
อาจารย์หนึ่งชำนาญในการยุทธ์
รำกระบองป้องกันกายสกนธ์
อาจารย์หนึ่งชำนาญในการปี่
ผู้ใดฟังวังเวงในวิญญาณ์
อันสองท่านราชครูนั้นอยู่ตึก
เป็นข้อความตามมีวิชาการ
แม้นผู้ใดใครจะเรียนวิชามั่ง
ถ้ามีทองแสนตำลึงมาถึงใจ
๏
วันนั้นพระอภัยมณีศรีสุวรรณ
เห็นลิขิตปิดไว้กับใบทวาร
อันท่านครูอยู่ตึกตำแหน่งนี้
จึงดำรัสตรัสแก่พระน้องยา
แต่เที่ยวดูเสียให้รู้ทั้งย่านบ้าน
ตรัสพลางย่างเยื้องครรไลไป
เห็นแผ่นผาจารึกลายลิขิต
ท่านอาจารย์การกระบองก็คล่องนัก
จึงบัญชาว่ากับพระน้องแก้ว
สองอาจารย์ปานดวงแก้ววิเชียร
อนุชาว่ากลการศึก
ถ้าเรียนรู้รำกระบองได้ว่องไว
พระเชษฐาว่าจริงแล้วเจ้าพี่
แต่ใจพี่นี้รักทางนักเลง
ถึงการเล่นเป็นที่ประโลมโลก
แต่ขัดสนจนจิตคิดประวิง
|
ถึงตำบลบ้านหนึ่งใหญ่หนักหนา
มีทิศาปาโมกข์อยู่สองคน
ถึงอาวุธซัดมาดังห่าฝน
รักษาตนมิให้ต้องคมศัสตรา
ทั้งดีดสีแสนเสนาะเพราะหนักหนา
เคลิ้มนิทราลืมกายดังวายปราณ
จดจารึกอักขราไว้หน้าบ้าน
แสนชำนาญเลิศลบภพไตร
จงอ่านหนังสือแจ้งแถลงไข
จึงจะได้ศึกษาวิชาการฯ
จรจรัลเข้ามาถึงหน้าบ้าน
พระทรงอ่านแจ้งจิตในกิจจา
ฝีปากปี่เป่าเสนาะเพราะหนักหนา
อันวิชาสิ่งนี้พี่ชอบใจ
ท่านอาจารย์ยังจะมีอยู่ที่ไหน
ถึงตึกใหญ่ที่ครูอยู่สำนัก
เข้ายืนชิดอ่านดูรู้ประจักษ์
ได้ทองหนักแสนตำลึงจึงได้เรียน
พ่อเห็นแล้วหรือที่ลายลิขิตเขียน
เจ้ารักเรียนที่ท่านอาจารย์ใด
น้องนี้นึกรักมาแต่ไหนไหน
จะชิงชัยข้าศึกไม่นึกเกรง
วิชามีแล้วใครไม่ข่มเหง
หมายว่าเพลงดนตรีนี้ดีจริง
ได้ดับโศกสูญหายทั้งชายหญิง
ด้วยทรัพย์สิ่งหนึ่งนี้ไม่มีมาฯ
|
๏
ศรีสุวรรณปัญญาฉลาดแหลม
ธำมรงค์เรือนมณีมีราคา
พอบูชาอาจารย์เอาต่างทรัพย์
อันตัวน้องนี้จะอยู่ด้วยครูกระบอง
ขอพระองค์จงเสด็จไปท้ายบ้าน
ครั้นเสร็จสมปรารถนาไม่ช้าที
พระอภัยได้คิดถึงคำน้อง
เข้าหยุดยั้งสั่งเสียกันเสร็จการ
ศรีสุวรรณกุมารชาญฉลาด
เห็นภูมิฐานเคหาโอฬารึก
มองเขม้นเห็นพราหมณ์พฤฒาเฒ่า
ดูรูปร่างอย่างเยี่ยงพระโยคี
ก็แจ้งว่าอาจารย์เจ้าของตึก
กระทั่งไอให้เสียงเป็นแยบคาย
๏
ฝ่ายพราหมณ์พรหมโบราณอาจารย์เฒ่า
ชำเลืองเนตรแลดูเห็นกุมาร
ดูแน่งน้อยรูปร่างเหมือนอย่างหุ่น
อร่ามเรืองเครื่องประดับระยับตา
จึงขยดลดเลื่อนลงนั่งใกล้
มีธุระอะไรในใจจง
๏
หน่อกษัตริย์ขัตติย์วงศ์ทรงสดับ
พระบิดาข้าบำรุงซึ่งกรุงไกร
จึงดั้นเดินเนินป่ามาถึงนี่
รู้ว่าท่านพฤฒาเป็นอาจารย์
แต่โปรดเกล้าคราวมาข้ายากแค้น
ธำมรงค์เรือนมณีฉันมีมา
แล้วถอดแหวนวงน้อยที่ก้อยขวา
ตาพราหมณ์เฒ่าเอาสำลีประชีรอง
แล้วไต่ถามนามวงศ์ถึงพงศา
อยู่เคหาตาพราหมณ์ไม่ลามลวน
ถึงยามดึกฝึกสอนในการยุทธ์
กระบองกระบี่ถี่ถ้วนทุกวิชา
|
จึงยิ้มแย้มเยื้อนตอบพระเชษฐา
จะคิดค่าควรแสนตำลึงทอง
เห็นจะรับสอนสั่งเราทั้งสอง
หัดให้คล่องเชี่ยวชาญชำนาญดี
อยู่ศึกษาอาจารย์ข้างดีดสี
จะตามพี่ไปหาที่อาจารย์
ต่างยิ้มย่อมปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
กลับไปหาอาจารย์ดังใจนึก
ยุรยาตรเยื้องย่างมาข้างตึก
ทั้งที่ฝึกสอนสานุศิษย์มี
กระหมวดเกล้าเอนหลังนั่งเก้าอี้
กระบองสี่ศอกวางไว้ข้างกาย
เห็นสมนึกเหมือนจิตที่คิดหมาย
แล้วก้มกายเข้าไปหาท่านอาจารย์ฯ
เป็นพงศ์เผ่าพฤฒามหาศาล
ศรีสัณฐาณผุดผ่องดังทองทา
พึ่งแรกรุ่นน่ารักเป็นนักหนา
ก็รู้ว่ากษัตริย์ขัตติย์วงศ์
แล้วถามไถ่ข้อความตามประสงค์
เจ้าจึงตรงมาหาจงว่าไปฯ
น้อมคำนับเล่าแจ้งแถลงไข
บัญชาให้เที่ยวหาวิชาการ
พอเห็นมีอักขราอยู่หน้าบ้าน
ขอประทานพากเพียรเรียนวิชา
อันทองแสนตำลึงนั้นไม่ทันหา
ตีราคาควรแสนตำลึงทอง
ให้พฤฒาทดแทนคุณสนอง
ขอดประคองไว้ในผมให้สมควร
สนทนาปรีดิ์เปรมเกษมสรวล
ครั้นค่ำชวนหน่อไทเข้าไสยา
เพลงอาวุธดาบดั้งให้ตั้งท่า
ค่อยศึกษาตั้งใจจะให้ดีฯ
|
๏
ฝ่ายเชษฐามาถึงที่ท้ายบ้าน
เอาธำมรงค์ทรงนิ้วดัชนี
๏
ฝ่ายครูเฒ่าพินทพราหมณ์รามราช
ให้ข้าไทใช้สอยคอยประคอง
แล้วพาไปยอดเขาให้เป่าปี่
แต่เสือช้างกลางไพรถ้าได้ยิน
ประมาณเสร็จเจ็ดเดือนโดยวิถาร
สิ้นความรู้ครูประสิทธิ์ไม่ปิดบัง
ถ้าแม้นว่าข้าศึกมันโจมจับ
เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคน
คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส
ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณ
แล้วให้ปี่ที่เพราะเสนาะเสียง
อวยพรพลางทางหยิบธำมรงค์
ซึ่งดนตรีตีค่าไว้ถึงแสน
ใช่ประสงค์ตรงทรัพย์สิ่งสุวรรณ
ต่อกษัตริย์เศรษฐีที่มีทรัพย์
จงคืนเข้าบุรีรักษ์นัครา
๏
หน่อกษัตริย์โสมนัสด้วยสมนึก
พิไรร่ำอำลาด้วยอาวรณ์
๏ ฝ่ายว่านฤบดีศรีสุวรรณ
ทั้งโล่เขนเจนจัดหัดประจญ
จนหมดสิ้นความรู้ท่านครูเฒ่า
เลือกล้วนเหล็กมะลุลีตีกระบอง
ทั้งธำมรงค์วงนั้นก็คืนให้
เหมือนอาจารย์คนนั้นที่พรรณนา
หน่อกษัตริย์สุริย์วงศ์ทรงสดับ
ครรไลลาอาจารย์จรลี
พอมาพบพี่ชายที่ท้ายบ้าน
ต่างเล่าความตามที่เรียนรู้วิชา
ออกจากบ้านจันตคามข้ามทิวทุ่ง
สิบห้าวันบรรลุถึงเวียงชัย
ออกแท่นทองท้องพระโรงจำรูญศรี
พระพี่น้องสององค์ก็ตรงมา
|
ก็เข้าหาอาจารย์ที่ดีดสี
ให้พราหมณ์ตีค่าแสนตำลึงทองฯ
แสนสวาทรักใคร่มิได้หมอง
เข้าในห้องหัดเพลงบรรเลงพิณ
ที่อย่างดีสิ่งใดก็ได้สิ้น
ก็ลืมกินน้ำหญ้าเข้ามาฟัง
พระกุมารได้สมอารมณ์หวัง
จึงสอนสั่งอุปเท่ห์เป็นเล่ห์กล
จะรบรับสารพัดให้ขัดสน
ด้วยเล่ห์กลโลกาห้าประการ
เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร
จึงคิดอ่านเอาชัยเหมือนใจจง
ยินสำเนียงถึงไหนก็ใหลหลง
คืนให้องค์กุมาราแล้วว่าพลัน
เพราะหวงแหนกำชับไว้ขับขัน
จะป้องกันมิให้ไพร่ได้วิชา
มาคำนับจึงได้ดังปรารถนา
ให้ชื่นจิตพระบิดาแลมารดรฯ
จดจารึกคำท่านอาจารย์สอน
แล้วบทจรจากบ้านอาจารย์ตนฯ
ก็เข้มข้นกลศึกที่ฝึกฝน
ในการกลอาวุธสุดทำนอง
จึงเรียกเจ้าเข้ามานั่งสองต่อสอง
ให้เป็นของคู่หัตถ์กษัตรา
แถลงไขข้อความตามปริศนา
แล้วพฤฒาอวยชัยไปจงดี
น้อมคำนับปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ตามวิถีแถวทางถนนมา
สองสำราญสรวลสันต์แล้วหรรษา
แล้วพี่พาน้องเดินดำเนินไป
หมายตรงกรุงรัตนาเข้าป่าใหญ่
พอท้าวไทสุทัศน์กษัตรา
แสนเสนีเฝ้าแหนอยู่แน่นหนา
เฝ้าบิดาที่ท้องพระโรงชัยฯ
|
๏
กรุงกษัตริย์สุริย์วงศ์พระทรงยศ
เรียกมานั่งข้างแท่นทองประไพ
หนึ่งพี่น้องสองเสาะแสวงหา
หรือปลอดเปล่าเล่าให้บิดาฟัง
๏
พระพี่น้องสององค์ทรงสวัสดิ์
พระเชษฐาทูลแถลงแจ้งคดี
ศรีสุวรรณนั้นเรียนในการยุทธ์
ทั้งสองสิ่งยิ่งยวดวิชาการ
๏
ท้าวสุทัศน์ฟังอรรถโอรสราช
โกรธกระทืบบาทาแล้วพาที
อันดนตรีปี่พาทย์ตะโพนเพลง
แต่พวกกูผู้หญิงที่ในวัง
อันวิชาอาวุธแลโล่เขน
เป็นกษัตริย์จักรพรรดิพิสดาร
ลูกกาลีมีแต่จะขายหน้า
จะให้อยู่เวียงวังก็จังไร
ไปเที่ยวเล่นเป็นปีแล้วมิสา
พระพิโรธโกรธตรัสด้วยขัดเคือง
๏
แสนสงสารพี่น้องสองกษัตริย์
อัปยศอดสูเสนาใน
พระเชษฐาว่าโอ้พ่อเพื่อนยาก
มาถึงวังยังไม่ถึงสักครึ่งวัน
พระกริ้วกราดคาดโทษว่าโฉดเขลา
อยู่ก็อายไพร่ฟ้าประชาชน
แล้วสวมสอดกอดน้องประคองหัตถ์
พระอภัยมณีศรีสุวรรณ
ฝ่ายมหาเสนาพฤฒามาตย์
ทั้งสองฟื้นตื่นกายระกำใจ
|
เห็นโอรสยินดีจะมีไหน
แล้วถามไถ่ทุกข์ยากเมื่อจากวัง
ได้วิชาเสร็จสมอารมณ์หวัง
พ่อนี้นั่งคอยท่าทุกราตรีฯ
ประสานหัตถ์น้อมประณตบทศรี
ลูกเรียนกลดนตรีชำนาญชาญ
เพลงอาวุธเข้มแข็งกำแหงหาญ
ใครจะปานเปรียบได้นั้นไม่มีฯ
บรมนาถขัดข้องให้หมองศรี
อย่าอวดดีเลยกูไม่พอใจฟัง
เป็นนักเลงเหล่าโลนเล่นโขนหนัง
มันก็ยังเรียนร่ำได้ชำนาญ
ชอบแต่เกณฑ์ศึกเสือเชื้อทหาร
มาเรียนการเช่นนั้นด้วยอันใด
ช่างชั่วช้าทุจริตผิดวิสัย
ชอบแต่ไสคอส่งเสียจากเมือง
มาพูดจาให้กูคันหูเหือง
แล้วย่างเยื้องจากบัลลังก์เข้าวังในฯ
บิดาตรัสโกรธาไม่ปราศรัย
ทั้งน้อยใจผินหน้าปรึกษากัน
สู้ลำบากยากบุกป่าพนาสัณฑ์
ยังไม่ทันทดลองทั้งสองคน
พี่กับเจ้านี้ก็เห็นไม่เป็นผล
ผิดก็ดั้นด้นไปในไพรวัน
สองกษัตริย์โศกทรงกันแสงศัลย์
ก็พากันซวนซบสลบไป
เห็นหน่อนาถนิ่งแน่เข้าแก้ไข
ชลนัยน์แนวนองทั้งสององค์ฯ
|
๏
พระเชษฐาว่ากรรมแล้วน้องเอ๋ย
มิทันสั่งอำมาตย์ญาติวงศ์
พระพี่ชายชวนเดินดำเนินหน้า
พระออกนอกนคราเข้าป่ารัง
อันตัวเราพี่น้องทั้งสองนี้
ทั้งโภชนาอาหารกันดารครัน
๏
พระอนุชาว่าพี่นี้ขี้ขลาด
แมันชีวันยังไม่บรรลัยลาญ
เผื่อพบพานบ้านเมืองที่ไหนมั่ง
มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร
๏
พระเชษฐาว่าจริงแล้วน้องรัก
กระนั้นแต่งองค์ไปทำไมมี
เราปลอมแปลงแต่งกายเป็นชายไพร่
สองกษัตริย์ตรัสคิดเห็นชอบกล
เอาภูษาผ้าห่มห่อกระหวัด
ศรีสุวรรณนั้นคุมกระบองกราย
ค่อยดั้นเดินเนินพนมพนาเวศ
ครั้นค่ำค้างกลางวันก็ไคลคลา
แต่เดินทางกลางเถื่อนได้เดือนเศษ
ถึงเนินทรายชายทะเลชโลทร
ค่อยย่างเหยียบเลียบริมทะเลลึก
ทั้งสองราล้าเลื่อยเหนื่อยกำลัง
|
อย่าอยู่เลยเรามาไปไพรระหง
ทั้งสององค์ออกจากจังหวัดวัง
อนุชาโฉมงามมาตามหลัง
ครั้นเหนื่อยนั่งสนทนาปรึกษากัน
ไม่มีที่พึ่งใครในไพรสัณฑ์
ยังนับวันก็แต่กายจะวายปราณฯ
เป็นชายชาติช้างงาไม่กล้าหาญ
ก็เซซานซอกซอนสัญจรไป
พอประทังกายาอยู่อาศัย
ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดีฯ
เจ้าแหลมหลักตักเตือนสติพี่
ให้เป็นที่กังขาประชาชน
เหมือนยากไร้แรมทางมากลางหน
จึงปลดเปลื้องเครื่องต้นออกจากกาย
แล้วคาดรัดเอวไว้มิให้หาย
พระพี่ชายถือปี่แล้วลีลา
สีขเรศห้วยธารละหานผา
กินผลาผลไม้ในดงดอน
ออกพ้นเขตเงาไม้ไพรสิงขร
ในสาครคลื่นลั่นสนั่นดัง
ถึงร่มพฤกษาไทรดังใจหวัง
ลงหยุดนั่งนอนเล่นเย็นสบายฯ
|
๏
จะจับบทบุตรพราหมณ์สามมาณพ
คนหนึ่งชื่อโมราปรีชาชาย
เอาฟางหญ้ามาผูกสำเภาได้
คนหนึ่งมีวิชาชื่อสานน
คนหนึ่งนั้นมีนามพราหมณ์วิเชียร
ถือธนูสู้ศึกนึกทะนง
ธนูนั้นลั่นทีละเจ็ดลูก
ล้วนแรกรุ่นร่วมรู้คู่ชีวิต
พอแดดร่มลมตกลงชายเขา
ออกจากบ้านอ่านมนต์เรียกพระพาย
ถึงทะเลแล่นตรงลงในน้ำ
มาใกล้ไทรสาขาริมวาริน
เห็นพี่น้องสององค์ล้วนทรงโฉม
ทอดสมอรอราเภตรายนต์
เข้ามาใกล้ไทรทองสองกษัตริย์
ว่าดูรามาณพทั้งสองนาย
หรือเดินดงหลงทางมาต่างบ้าน
แม้นไม่มีพี่น้องญาติกา
๏
พระฟังความถามทักเห็นรักใคร่
เราชื่ออภัยมณีศรีสุวรรณ
ไปร่ำเรียนวิชาที่อาจารย์
อันตัวเรานี้ชำนาญการดนตรี
พระบิตุเรศขับไล่มิให้อยู่
เราพี่น้องสองคนจึงซนมา
ด้วยจะใคร่ไต่ถามตามสงสัย
ที่สมศักดิ์จักรพรรดิพิสดาร
อันตัวเจ้าเผ่าพราหมณ์สามมาณพ
ท่านทั้งสามนามใดไปไหนมา
|
ได้มาพบคบเล่นเป็นสหาย
มีแยบคายชำนาญในการกล
แล้วแล่นไปในจังหวัดไม่ขัดสน
ร้องเรียกฝนลมได้ดังใจจง
เที่ยวร่ำเรียนสงครามตามประสงค์
หมายจะปลงชีวาปัจจามิตร
หมายให้ถูกที่ตรงไหนก็ไม่ผิด
เคยไปเล่นเป็นนิจที่เนินทราย
ขึ้นสำเภายนต์ใหญ่ดังใจหมาย
แสนสบายบุกป่ามาบนดิน
เที่ยวลอยลำเล่นมหาชลาสินธุ์
ก็ได้ยินสุรเสียงสำเนียงคน
งามประโลมหลากจิตคิดฉงน
ทั้งสามคนขึ้นเดินบนเนินทราย
โสมนัสถามไต่ดังใจหมาย
เจ้าเพื่อนชายชื่อไรไปไหนมา
จงแจ้งการณ์ให้เราฟังที่กังขา
เราจะพาไปไว้เรือนเป็นเพื่อนกันฯ
จึงขานไขความจริงทุกสิ่งสรรพ์
เป็นพงศ์พันธุ์จักรพรรดิสวัสดี
ตำบลบ้านจันตคามพนาศรี
น้องเรานี้ก็ชำนาญการศัสตรา
ว่าเรียนรู้ต่ำชาติวาสนา
หวังจะหาแห่งครูผู้ชำนาญ
วิชาใดจึงจะดีให้วิถาร
จะคิดอ่านเรียนร่ำเอาตำรา
ได้มาพบกันวันนี้ดีหนักหนา
จงเมตตาบอกเล่าให้เข้าใจฯ
|
๏
ดรุณพราหมณ์สามคนได้แจ้งอรรถ
ประณตนั่งบังคมขออภัย
ซึ่งพระองค์สงสัยจึงไต่ถาม
ข้าชื่อวิเชียรโมราเจ้าสานน
แสวงหาตั้งเพียรเพื่อเรียนรู้
ได้รู้เรียกลมฝนคือคนนั้น
ยิงออกไปได้ทีละเจ็ดลูก
คนนั้นผูกเรือยนต์แล่นบนดิน
ซึ่งองค์พระอนุชาเรียนอาวุธ
แต่ดนตรีนี้ดูไม่ชอบกล
ดนตรีมีคุณที่ข้อไหน
ยังสงสัยในจิตคิดประวิง
๏
พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม
อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป
ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช
แม้นปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน
ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ
ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญาณ์
แล้วหยิบปี่ที่ท่านอาจารย์ให้
พระเป่าเปิดนิ้วเอกวิเวกดัง
๏
ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย
พระจันทรจรสว่างกลางโพยม
แม้นได้แก้วแล้วจะค่อยประคองเคย
เจ้าพราหมณ์ฟังวังเวงวะแว่วเสียง
หวาดประหวัดสตรีฤดีดาล
ศรีสุวรรณนั้นนั่งอยู่ข้างพี่
พระแกล้งเป่าแปลงเพลงวังเวงใจ
|
ว่ากษัตริย์สุริย์วงศ์ไม่สงสัย
พระอย่าได้ถือความข้าสามคน
จะทูลความให้แจ้งแห่งนุสนธิ์
ทั้งสามคนคู่ชีวิตเป็นมิตรกัน
ได้เป็นคู่ศึกษาวิชาขยัน
ข้าแข็งขันยิงธนูสู้ไพริน
จะให้ถูกตรงไหนก็ได้สิ้น
อยู่บ้านอินทคามทั้งสามคน
เข้ายงยุทธ์ข้าก็เห็นจะเป็นผล
ข้าแสนสนเท่ห์ในน้ำใจจริง
หรือใช้ได้แต่ข้างเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง
จงแจ้งจริงให้กระจ่างสว่างใจฯ
จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข
ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์
จตุบาทกลางป่าพนาสิน
ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา
อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา
จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง
เข้าพิงพฤกษาไทรดังใจหวัง
สำเนียงวังเวงแว่วแจ้วจับใจฯ
ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย
ไม่เทียมโฉมนางงามเจ้าพราหมณ์เอ๋ย
ถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน
สำเนียงเพียงการเวกกังวานหวาน
ให้ซาบซ่านเสียวสดับจนหลับไป
ฟังเสียงปี่วาบวับก็หลับไหล
เป็นความบวงสรวงพระไทรที่เนินทรายฯ |
"นิทาน"
พระอภัยมณี
ตอนที่ ๒
นางผีเสื้อลักพระอภัยมณี
|
ครั้งนั้น ยังมีนางผีเสื้อน้ำตนหนึ่ง
อาศัยอยู่ในทะเล เที่ยวหาปลาและสัตว์น้ำกินเป็นอาหาร
ระหว่างที่พระอภัยมณีเป่าปี่บวงสรวงพระไทรอยู่นั้น
นางผีเสื้อน้ำกำลังออกหากิน และได้ยินเสียงปี่แว่วมา
จึงเดินทางมาตามเสียง เมื่อได้เห็นพระอภัยมณี ก็นึกรักทันที
ใคร่จะได้มาเป็นสามี
จึงใช้กำลังเข้าลักพาตัวพระอภัยมณีไปยังถ้ำของตน
พระอภัยมณีตกใจจนสิ้นสติ เมื่อฟื้นคืนมาพบตัวเองอยู่ในถ้ำ
และมีหญิงสาวสวยงามปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ทรงรู้ทันทีว่า
หญิงนี้คือนางยักษ์ ด้วยไม่มีแววตา
ทรงหว่านล้อมขอให้ปล่อยตัวพระองค์ไป แต่นางผีเสื้อน้ำไม่ยินยอม
ทั้งเกลี้ยกล่อมและใช้ กำลัง
จะให้พระอภัยมณียอมเป็นสามีตนให้ได้
พระอภัยเห็นว่าไม่มีทางหนี จึงให้นางยักษ์สาบานว่าจะไม่ทำร้าย
แล้วจึงจะ ยอมเป็นสามี นางยักษ์ก็ยอมสาบาน
พระอภัยมณีจึงจำต้องอยู่ด้วยนางยักษ์แต่นั้นมา
โดยนางออกไปหาผลไม้มาถวาย พระอภัยมณีทุกๆ วัน |
๏
จะกล่าวถึงอสุรีผีเสื้อน้ำ
ได้เป็นใหญ่ในพวกปีศาจพราย
ตะวันเย็นขึ้นมาเล่นทะเลกว้าง
ฉวยฉนากลากฟัดกัดกุมภา
แล้วเล่นน้ำดำโดดโลดทะลึ่ง
เข้าใกล้ฝั่งวังวนข้างต้นไทร
วิเวกแว่ววังเวงด้วยเพลงปี่
เสน่หาอาวรณ์อ่อนกำลัง
แล้วลุกขึ้นเท้าแขนแหงนชะแง้
เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมใจ
ทั้งทรวดทรงองค์เอวก็อ้อนแอ้น
ถ้าแม้นได้กันกับกูเป็นคู่ครอง
น้อยหรือแก้มซ้ายขวาก็น่าจูบ
ทั้งลมปากเป่าปี่ไม่มีเครือ
ยิ่งปั่นป่วนรวนเรเสน่ห์รัก
อุตลุดผุดทะลึ่งขึ้นตึงตัง
ชุลมุนหมุนกลมดังลมพัด
กลับกระโดดลงน้ำเสียงต้ำโครม
ครั้นถึงแท่นผาศิลาลาด
ค่อยวางองค์ลงบนเตียงเคียงประคอง
๏ แสนสงสารพระอภัยใจจะขาด
สลบล้มมิได้สมประฤๅดี
๏ อสุรีผีเสื้อแสนสวาท
เออพ่อคุณทูนหัวผัวข้าตาย
เห็นอุ่นอยู่รู้ว่าสลบหลับ
พ่อทูนหัวกลัวน้องนี้มั่นคง
จำจะแสร้งแปลงร่างเป็นนางมนุษย์
เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมลาน
แล้วอ่านเวทเพศยักษ์ก็สูญหาย
เอาธารามาชโลมพระโฉมยง
|
อยู่ท้องถ้ำวังวนชลสาย
สกนธ์กายโตใหญ่เท่าไอยรา
เที่ยวอยู่กลางวารินกินมัจฉา
เป็นภักษานางมารสำราญใจ
เสียงโผงผึงเผ่นโผนโจนไถล
พอนางได้ยินเสียงสำเนียงดัง
ป่วนฤดีดาลดิ้นถวิลหวัง
เข้าเกยฝั่งหาดทรายสบายใจ
ชำเลืองแลหลากจิตคิดสงสัย
นั่งเป่าปี่อยู่ใต้พระไทรทอง
เป็นหนุ่มแน่นน่าชมประสมสอง
จะประคองกอดแอบไว้แนบเนื้อ
ช่างสมรูปนี่กระไรวิไลเหลือ
นางผีเสื้อตาดูทั้งหูฟัง
สุดจะหักวิญญาณ์เหมือนบ้าหลัง
โดยกำลังโลดโผนโจนกระโจม
กอดกระหวัดอุ้มองค์พระทรงโฉม
กระทุ่มโถมถีบดำไปถ้ำทอง
แสนสวาทเปรมปรีดิ์ไม่มีสอง
ทำกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยยินดีฯ
กลัวอำนาจนางยักขินีศรี
อยู่บนที่แผ่นผาศิลาลายฯ
เห็นภูวนาถนิ่งไปก็ใจหาย
ราพณ์ร้ายลูบต้องประคององค์
ยังไม่ดับชนม์ชีพเป็นผุยผง
ด้วยรูปทรงอัปลักษณ์เป็นยักษ์มาร
ให้ผาดผุดทรวดทรงส่งสัณฐาน
จะเกี้ยวพานรักใคร่ดังใจจง
สกนธ์กายดังกินนรนวลหง
เข้าแอบองค์นวดฟั้นคั้นประคองฯ
|
๏
พระพลิกฟื้นตื่นสมประดีได้
แลเขม้นเห็นนางนวลละออง
นิ่งพินิจพิศดูรู้ว่ายักษ์
ยิ่งชิงชังคั่งแค้นแน่นอุรา
แล้วคิดกลับดับเดือดให้เหือดหาย
นี่แน่นางอสุรีขินีมาร
จะขอถามตามตรงจงประจักษ์
อันตัวเราเป็นมนุษย์บุรุษชาย
เข้าอิงแอบแนบข้างอยู่อย่างนี้
มนุษย์ยักษ์รักกันด้วยอันใด
๏ อสุรีผีเสื้อสดับเสียง
ทำเสแสร้งใส่จริตกระบิดกระบวน
อันน้องนี้ไร้คู่ที่สู่สม
ถึงเป็นยักษ์ยังไม่มีราคีมัว
แม่เจ้าเอ๋ยคิดมาน่าหัวร่อ
พลางแกล้งทำสะบัดสะบิ้งทิ้งสไบ
แล้วแกล้งทำสำออยพูดอ้อยอิ่ง
ยิ่งถอยหนีก็ยิ่งตามด้วยความรัก
๏
พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิต
ถีบจนพลัดจากแท่นแผ่นศิลา
เขาเบือนเบื่อเหลือเกลียดขี้เกียจตอบ
ทำแสนแง่แสนงอนฉะอ้อนความ
ถึงมาตรแม้นม้วยมุดสุดชีวาตม์
สัญชาติยักษ์ไม่สมัครสมาคม
๏
อีนางยักษ์กลับปลอบไม่ตอบโกรธ
ข้าหมายเหมือนภัสดาถึงด่าตี
จนผู้หญิงอิงแอบแนบถนอม
ช่างไม่คิดขวยเก้อเอออะไร
มาร่วมเรียงเคียงข้างอยู่อย่างนี้
น่าอดสูผู้หญิงเสียจริงเจียว
|
ในฤทัยหมกมุ่นให้ขุ่นหมอง
เคียงประคองอยู่บนแท่นแผ่นศิลา
ด้วยแววจักษุหายทั้งซ้ายขวา
จะใคร่ด่าให้ระยำด้วยคำพาล
จึงอุบายวิงวอนด้วยอ่อนหวาน
ไม่ต้องการที่จะแกล้งมาแปลงกาย
เจ้าเป็นยักษ์อยู่ในวนชลสาย
เจ้าคิดร้ายลักพาเอามาไย
หรือว่ามีข้อประสงค์ที่ตรงไหน
ผิดวิสัยที่จะอยู่เป็นคู่ควรฯ
เพราะสำเนียงเสนาะในฤทัยหวน
ละมุนม้วนเมียงหมอบแล้วยอบตัว
เป็นสาวพรหมจารีไม่มีผัว
พระมากลัวผู้หญิงด้วยสิ่งใด
เห็นเขาง้อแล้วยิ่งว่าไม่ปราศรัย
ร้อนเหมือนใจจะขาดประหลาดนัก
เข้าแอบอิงเอนทับลงกับตัก
ยิ่งพลิกผลักก็ยิ่งแอบแนบอุราฯ
มิได้คิดอินังชังน้ำหน้า
แล้วเดือดด่าว่าอีกาลีลาม
ยังขืนปลอบปลุกปล้ำอีส่ำสาม
แพศยาบ้ากามกวนอารมณ์
อย่าหมายมาดว่ากูจะสู่สม
แล้วทุดถ่มน้ำลายไม่ใยดีฯ
พระจงโปรดเกล้าน้องอย่าหมองศรี
ก็ตามทีเถิดเมียไม่เสียใจ
กระไรหม่อมจะตั้งปึ่งไปถึงไหน
ทำบ้าใบ้เบือนหนีไปทีเดียว
ยังว่ามีน้ำใจจะไม่เกี่ยว
พลางกลมเกลียวกอดรัดกษัตราฯ
|
๏
พระเหวี่ยงวัดขัดใจมิให้ต้อง
มันดื้อด้านทานทนพ้นปัญญา
อะไรเจ้าเฝ้ากวนกันจู้จี้
ขอพักนอนเสียสักหน่อยถอยออกไป
แล้วเอนองค์ลงบนแท่นแสนระทด
โอ้สงสารป่านฉะนี้ศรีสุวรรณ
พอตื่นขึ้นยามเย็นไม่เห็นพี่
ได้เห็นแต่เจ้าพราหมณ์ทั้งสามนาย
นิจจาเอ๋ยเคยเห็นกันพี่น้อง
อียักษ์ลักพี่ลงมาในสาคร
พระนึกนึกแล้วสะอึกสะอื้นไห้
ซบพระพักตร์อยู่บนแท่นแผ่นศิลา
๏
อีนางยักษ์ฟังสะอื้นค่อยชื่นจิต
เข้าอิงแอบแนบองค์พระทรงชัย
คิดว่าหลับกลับปลุกขึ้นโลมลูบ
ค่อยยกหัตถ์ภูวนาถพาดอุรา
เห็นทรงศักดิ์ผลักพลิกทำหยิกเย้า
จะกอดไว้ไม่วางเหมือนอย่างนี้
๏
พระแค้นคำซ้ำด่าอีหน้าด้าน
น่าอดสูกูได้ทำไมมึง
ทั้งเหม็นสาบเหม็นสางเหมือนอย่างศพ
มายั่วเย้าเฝ้าเบียดเกลียดจะตาย
๏
อีนางยักษ์ควักค้อนแล้วย้อนว่า
ทีขอจูบแต่พอถูกจมูกครือ
เมื่ออยู่สองต่อสองในห้องหับ
ถึงโกรธขึ้งอย่างไรก็ไม่ฟัง
๏
พระสุดแสนแค้นเคืองรำคาญจิต
ให้อักอ่วนป่วนใจไม่สบาย
จะยั่งยืนขืนขัดตัดสวาท
ก็จะสะบักสะบอมตรอมฤทัย
จึงบัญชาว่านี่แน่นางยักษ์
อันเชื้อชาติอสุรินทร์ย่อมกินคน
ไปข้างหน้าถ้าเคืองน้ำใจเจ้า
แม้นให้สัตย์ปฏิญาณสาบานตัว
|
จนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยสองพระหัตถา
จึงแกล้งว่าวิงวอนให้อ่อนใจ
ข้าจะหนีหน่ายนางไปข้างไหน
สบายใจจึงค่อยมาพูดจากัน
โศกกำสรดซบทรงกันแสงศัลย์
อยู่ด้วยกันหลัดหลัดมาพลัดพราย
จะโศกีโหยหาน่าใจหาย
เขาผันผายลับตาจะอาวรณ์
มาเที่ยวท่องบุกเดินเนินสิงขร
จะทุกข์ร้อนว้าเหว่อยู่เอกา
ชลเนตรหลั่งไหลทั้งซ้ายขวา
ทรงโศกากำสรดระทดใจฯ
สำคัญคิดแว่วว่าพระปราศรัย
เห็นเธอไม่ผินผันจำนรรจา
ประจงจูบปรางซ้ายแล้วย้ายขวา
ในกามาปั่นป่วนให้ยวนยี
มาลูบคลำทำเขาแล้วเบือนหนี
แค้นนักหนาฟ้าผี่เถอะดื้อดึงฯ
ใครจะร่านเหมือนเช่นนี้ไม่มีถึง
มาเคล้าคลึงโลมลูบจูบผู้ชาย
ไม่น่าคบน่ารักยักษ์ฉิบหาย
ไม่มีอายมีเจ็บเท่าเล็บมือฯ
ส่วนร่ำด่ากระนั้นได้เขาไม่ถือ
ยิ่งอึงอื้อบ่นว่าเป็นน่าชัง
จะบังคับมิให้ใครกลุ้มใจมั่ง
พลางเข้านั่งแอบข้างไม่ห่างกายฯ
เป็นสุดคิดสุดที่จะหนีหาย
มันกอดก่ายเซ้าซี้พิรี้พิไร
ไม่สังวาสเชยชิดพิสมัย
ต้องแข็งใจกินเกลือด้วยเหลือทน
จะร่วมรักกันก็เห็นไม่เป็นผล
มาแปดปนเป็นมิตรเราคิดกลัว
จะกินเราเสียไม่คิดว่าเป็นผัว
ให้หายกลัวแล้วจะอยู่เป็นคู่ครองฯ
|
|
แนะนำที่พักที่น่าสนใจ
(1) |
บ้านเพคาบาน่า
|
206/1-2 หมู่ 3 ต.แกลง อ.แกลง โทร. 02-6730966,
02-6733322 ราคาห้องพักเริ่มต้นที่ 1,700 - 2,300 บาท + อาหารเช้า |
Baan Siri on Sea
|
เปิดใหม่ ติดหาดแม่รำพึง
ราคา
2,300 - 3,000 บาทมีสระว่ายน้ำ
2 สระ |
ระยองชาเล่ต์
|
4/32 หมู่ 3 ถ.เพ-แกลง-กร่ำ ต.ชากพง อ.แกลง โทร.
02-2119654 |
ระยองออคิด
|
011 ซ.ราษฎร์บำรุง ถ.สุขุมวิท ต.เนินพระ กรุงเทพฯ โทร.
02-2119654 จำนวน 150 ห้อง ราคา 1,200-2,800 บาท |
ทรายแก้วบีช
|
หมู่ 4 ต.เพ โทร. 02-6730966 จำนวน 38 ห้อง ราคา
2900-7600 บาท |
โนโวเทลริมเพ ระยอง
|
4/5 หมู่ 3 ถ.เพ-แกลง-กร่ำ ต.ซากพง อ.แกลง โทร.
02-2119654จำนวน 189 ห้อง ราคา 3,061-6,356 บาท |
โอฮาน่า รีสอร์ท
|
45/7 หมู่ 10, ตะพง, อ.เมือง, ระยอง 21000 โทร.
02-1641001 To 6 ราคา 3,360 บาท |
ภูริมาศ บีช โฮเต็ล
|
34 ถ.พยูน-น้ำริน กรุงเทพฯ โทร. 02-2119654 จำนวน
79 ห้อง ราคา 2,560-5,200 บาท |
|
3.นิทานพระไชยสุริยา
|
ท่านสุนทรภู่แต่งขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๓๘๓ - ๒๓๘๕
ขณะที่บวชเป็นพระอยู่ทีวัดเทพธิดาราม
ท่านแต่งเป็นกาพย์ซึ่งแทรกความรู้เกี่ยวกับภาษาไทย
ในเรื่องของมาตราตัวสะกดแม่ต่าง ๆ เช่น แม่กก กง กน กด กบ
และเกย เป็นต้น นอกจากนั้นยังสอดแทรกคติธรรมต่าง ๆ
ที่เป็นประโยชน์อีกด้วย
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีพระราชดำรัสให้พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
แต่งตำราภาษาไทยขึ้น
ท่านได้นำกาพย์พระไชยสุริยามาแทรกไว้ในหนังสือมูลบท บรรพกิจ
ซึ่งเป็นแบบเรียนเล่มแรกในทั้งหมด ๖ เล่ม
พระไชยสุริยาเป็นเรื่องราวของพระไชยสุริยากษัตริย์ครองเมืองด้วยความสงบเรียบร้อยมาตลอด
จนกระทั่งวันหนึ่งมีน้ำท่วมจนบ้านเมืองล่มสลายไป
พระไชยสุริยาพร้อมกับนางสุมาลีพระมเหสีและนางกำนัลหนีลงเรือ
แต่ก็ถูกพายุพัดจนเรือแตก
คลื่นซัดพระไชยสุริยากับพระนางสุมาลีเข้าฝั่ง
ทั้งสองต้องเดินทางอยู่กลางป่าจนพบกับฤาษีตนหนึ่ง
ฤาษีได้บอกถึงสาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองพังพินาศว่า
ด้วยข้าราชสำนักทั้งหลายประพฤติชั่ว
รับสินบนไม่รักษาความยุติธรรม
ฟ้าดินจึงลงโทษให้ได้รับความเดือดร้อน
ฤาษีได้แนะนำให้พระไชยสุริยา
และพระนางสุมาลีรักษาศีลปฏิบัติธรรม
ต่อมาทั้งสองพระองค์ได้ออกบวชและบำเพ็ญธรรมจนสิ้นพระชนม์ชีพ
ดังจะคัดมาเป็นตอนของแม่กงมาให้อ่าน ดังต่อไปนี้ |
กลางไพรไก่ขันบรรเลง |
ฟังเสียงเพียงเพลง |
ซอเจ้งจำเรียงเวียงวัง |
ยูงทองร้องกระโต้งโห่งดัง |
เพียงฆ้องกลองระฆัง |
แตรสังข์สังสดาลขานเสียง |
กะลิงกะลางนางนวลนอนเรียง |
พระยาลอคลอเคียง |
แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง |
ค้อนทองเสียงร้องป๋องเป๋ง |
เพลินฟังวังเวง |
อีเก้งเริงร้องลองเชิง |
ฝูงละมั่งฝังดินกินเพลิง |
คางแข็งแรงเริง |
ยืนเบิ่งบึ้งหน้าตาโพลง |
ป่าสูงยูงยางช้างโขลง |
อึงคะนึงผึงโผง |
โยงกันเล่นน้ำคล่ำไป |
|
4.นิทานลักษณวงศ์
|
เป็นนิทานคำกลอนเป็นเรื่องของ
ลักษณวงศ์พระโอรสของท้าวพรหมทัต และนางสุวรรณอำภา
ครั้งหนึ่งทั้งสามได้ออกประพาสป่า ขณะที่ทั้งสามกำลังบรรทมอยู่นั้น
มีนางยักษ์ตนหนึ่งมาพบท้าวพรหมทัตและเกิดหลงรัก
จึงแปลงตนเป็นสาวงามทำให้ท้าวพรหมทัตหลงใหล
จนสั่งให้ประหารนางสุวรรณอำภาและลักษณวงศ์
แต่เพชรฆาตสงสารจึงปล่อยตัวทั้งสองไป
ต่อจากนั้นเป็นเรื่องการผจญภัยของลักษณวงศ์และของนางทิพย์เกสร
ดังที่จะคัดมาตอนหนึ่ง ดังต่อไปนี้
พอสิ้นแสงสุริยาในอากาศ |
ก็โอภาสจันทร์แจ่มจำรัสฉาย |
น้ำค้างโรยโปรยปรายกระจายพราย
|
พระพายชายพัดเชยรำเพยพาน |
เสาวคนธ์หล่นโรยมารื่นรื่น |
เจ้าพลิกฟื้นวรองค์น่าสงสาร
|
ไม่เห็นองค์มารดายุพาพาล |
ยิ่งแดดาลเดือดดิ้นอยู่โดยเดียว
|
|
|
5.นิทานสิงหไกรภพ |
ท่านสุนทรภู่เริ่มแต่งตอนต้นเรื่องประมาณต้นรัชกาลที่ ๒
และแต่งต่อในตอนท้ายขณะที่บวชอยู่ ณ วัดเทพธิดาราม
เพื่อถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์ตอนหนึ่ง และถวายกรมหมื่นอัปสรเทพสุดา ฯ
อีกตอนหนึ่งสิงหไตรภพเป็นนิทานพื้นบ้านอีกเรื่องหนึ่งของท่านสุนทรภู่
เป็นเรื่องราวของ สิงหไตรภพซึ่งเป็นโอรสของท้าวอินณุมาศ
เจ้าเมืองโกญจา และนางจันทร์แก้วกัลยาณี พระมเหสี
ทั้งสองได้รับบุตรจอมโจรสลัดมาเลี้ยงเป็นโอรสบุญธรรมชื่อว่า
คงคาประลัย คงคาประลัยเป็นคนพาลตามนิสัยของบิดา
วันหนึ่งคงคาประลัยได้ก่อกบฏยึดอำนาจภายในเมือง
เนื่องจากเกดความโกรธแค้นที่พ่อถูกฆ่าตาย
และอิจฉาพระโอรสที่อยู่ในครรภ์ของนางจันทร์แก้วกัลยาณี
ทำให้กษัตริย์ทั้งสองต้องหนีออกจากเมืองไปอาศัยอยู่ในป่าและให้กำเนิดพระโอรสในป่า
ต่อมาพราหมณ์เทพจินดาได้ลักพาตัวสิงหไตรภพไป
ด้วยพราหมณ์เทพจินดาผู้เป็นบุตรของพราหมณ์วิรุณฉาย
ซึ่งสามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ทราบว่าจะมีผู้มีบุญลงมาเกิด
ก่อนตายได้สั่งพราหมณ์เทพจินดาบุตรชายให้ตามหาเด็กชายที่มีลักษณะตามตำรา
วันหนึ่งพราหมณ์เทพจินดาและสิงหไตรภพได้พบยักษ์ชื่อพินทุมาร
และอาศัยอยู่กับพินทุมารจนโต
เมื่อสิงหไตรภพเติบโตจึงได้ขโมยใบไม้วิเศษที่เมื่อกินเข้าไปแล้ว
สามารถแปลงกายเป็นสัตว์ได้
ต่อจากนั้นเป็นเรื่องราวของการผจญภัยของสิงหไตรภพ
ดังที่จะคัดมาตอนหนึ่ง ดังต่อไปนี้
ซึ่งสัจจังที่ตั้งเมตตาจิต |
มิได้คิดแสร้งเสกอุเบกษา |
ด้วยเลี้ยงคงคาประลัยจนใหญ่มา |
ทั้งเวลากินนอนไม่ร้อนรน |
มันกลับขวิดคิดร้ายทำลายล้าง |
ฆ่าผู้สร้างสืบสายฝ่ายกุศล |
เสียชีวิตก็เพราะคิดเมตตาคน |
ทั้งสากลจงเห็นเป็นพยาน
|
|
|
|
ประเภทสุภาษิต แยกออกเป็น ดังนี้
1.สุภาษิตสอนหญิง
2.สุภาษิตสวัสดิรักษา
3.สุภาษิตเพลงยาวถวายโอวาท |
1.สุภาษิตสอนหญิง |
๏ประนมหัตถ์นมัสการขึ้นเหนือเศียร
ต่างประทีปโกสุมปทุมเทียน
อันเป็นมิ่งโมลีสี่ทวีป
ก็ล่วงลับดับไกลนัยนา
ฉันชื่อภู่ผู้ประดิษฐ์คิดสนอง
ให้ประเสริฐเลิศล้ำด้วยคำคม
๏ ขอเจริญเรื่องตำรับฉบับสอน
อันความชั่วอย่าให้มัวมีระคาย
ผู้ใดเกิดเป็นสตรีอันมีศักดิ์
สงวนงามตามระบอบให้ชอบกล
เป็นสาวแซ่แร่รวยสวยสะอาด
แม้นแตกร้าวรานร่อยถอยราคา
อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้กายสูง
ค่อยเสงี่ยมเจียมใจจะไว้วาง
๏ จะนุ่งห่มดูพอสมศักดิ์สงวน
จะผัดหน้าทาแป้งแต่งอินทรีย์
จะเก็บไรไว้ผมให้สมพักตร์
เป็นสุภาพราบเรียบแลเจริญ
ใครเห็นน้องต้องนิยมชมไม่ขาด
ถึงรูปงามทรามสงวนนวลอนงค์
๏ ประการหนึ่งซึ่งจะเดินดำเนินนาด
อย่าไกวแขนสุดแขนเขาห้ามปราม
อย่าเดินกรายย้ายอกยกผ้าห่ม
อย่าพูดเพ้อเจ้อไปไม่สู้ดี
ให้กำหนดจดจำแต่คำชอบ
อย่านุ่งผ้าพกใหญ่ใต้สะดือ
อย่าลืมตัวมัวเดินให้เพลินจิต
เป็นนารีที่ละอายหลายกระบวน
อนึ่งเนตรอย่าสังเกตให้เกินนัก
แม้นประสบพบเหล่าเจ้าชู้ชาย
อันนัยน์ตาพาตัวให้มัวหมอง
จริงมิจริงเขาเอาไปเล่าแช
|
จำนงเนียรนบบาทพระศาสดา
ดังประทีปส่องทั่วทุกทิศา
สู่มหาห้องนิพพานสำราญรมย์
ขอประคองคุณใส่ไว้เหนือผม
โดยอารมณ์ดำริรักชักภิปราย
ชาวประชาราษฎรสิ้นทั้งหลาย
จะสืบสายสุริยวงศ์เป็นมงคล
บำรุงรักกายไว้ให้เป็นผล
จึงจะพ้นภัยพาลการนินทา
ก็หมายมาดเหมือนมณีอันมีค่า
จะพลอยพาหอมหายจากกายนาง
ดูเยี่ยงยูงแววยังมีที่วงหาง
ให้ต้องอย่างกริยาเป็นนารี
ให้สมควรรับพักตร์ตามศักดิ์ศรี
ดูฉวีผิวเนื้ออย่าเหลือเกิน
บำรุงศักดิ์ตามศรีมิให้เขิน
คงมีผู้สรรเสริญอนงค์ทรง
ว่าฉลาดแต่งร่างเหมือนอย่างหงส์
ไม่รู้จักแต่งองค์ก็เสียงาม
ค่อยเยื้องยาตรยกย่องไปกลางสนาม
เสงี่ยมงามสงวนไว้แต่ในที
อย่าเสยผมกลางทางหว่างวิถี
เหย้าเรือนมีกลับมาจึงหารือ
ผิดระบอบแบบกระบวนอย่าควรถือ
เขาจะลือว่าเล่นไม่เห็นควร
ระวังปิดปกป้องของสงวน
จงสงวนศักดิ์สง่าอย่าให้อาย
จงรู้จักอาการประมาณหมาย
อย่าชม้ายทำชะม้อยตะบอยแล
เหมือนทำนองแนะออกบอกกระแส
คนรังแกมันก็ว่านัยน์ตาคม
|
๏
อันที่จริงหญิงชายย่อมหมายรัก
แม้นจักรักรักไว้ในอารมณ์
ดังพฤกษาต้องวายุพัดโบก
จงยับยั้งช่างใจเสียให้ดี
อันตัวนางเปรียบอย่างปทุเมศ
หอมผกาเกสรขจรขจาย
ครั้นได้ชมสมจิตพิศวาส
ไม่อยู่เฝ้าเคล้ารสเที่ยวจดลอง
แม้นชายใดหมายประสงค์มาหลงรัก
อันความรักของชายนี้หลายชั้น
จงพินิจพิศดูให้รู้แน่
เปรียบเหมือนคิดปริศนาอย่าไว้ใจ
อันแม่สื่ออย่าได้ถือเป็นบรรทัด
แต่ล้วนดีมีบุญลูกขุนนาง
อันร้ายดีมิได้เห็นเป็นแต่ว่า
เหมือนเขาหลอกบอกลาภถึงเมืองไกล
ทางไกลตาอุปมาเหมือนเสียเนตร
เขาจะนำไปตายก็ตายพลัน
อันแม่สื่อคือปีศาจที่อาจหาญ
อย่าเชื่อนักมักตับก็คับโครง
อันความชั่วอยู่ที่ตัวของเราหมด
จงฟังหูไว้หูกับผู้คน
๏ คิดถึงตัวหาผัวนี้หายาก
คนสูบฝิ่นกินสุราพาจัญไร
มักเบียดเบียนบีฑาประดาเสีย
ไม่ทำมาหากินจนสิ้นตน
ที่บางคนนั้นชั่วเป็นหัวไม้
ท่านจับได้ใส่ตรวจพรวดคอยาว
เขาเป็นผัวตัวเมียเสียไม่ได้
ไปเสียลดเสียหลั่นพันธนา
เพราะมีผัวชั่วไปจึงได้ยาก
บ้างเล่นเบี้ยเสียถั่วมัวทนง
มีข้าวของเคยผูกให้ลูกเต้า
ลงชั้นว่าผ้าผ่อนท่อนสไบ
ยังแต่เมียเกลี่ยไกล่ไปขายซื้อ
ครั้นรักผัวก็อย่ามัวด้วยลมโลม
จะคิดทำอย่างไรก็ใช่ที่
ถ้าคนผู้รู้สึกสำนึกตัว
จะหาคู่สู่สมภิรมย์หวัง
ที่ชายดีนั้นก็มีอยู่ถมไป
แต่ใจคนมักรนไปหาผิด
ต้องเดือดดิ้นกินน้ำตาอยู่นองเนือง
|
มิใช่จักตัดทางที่สร้างสม
อย่ารักชมนอกหน้าเป็นราคี
เขยื้อนโยกก็แต่กิ่งไม่ทิ้งที่
เหมือนจามรีรู้จักรักษากาย
พึงประเวศผุดพ้นชลสาย
มิได้วายภุมรินถวิลปอง
ก็นิราศแรมจรัลผันผยอง
ดูทำนองใจชายก็คล้ายกัน
ให้รู้จักเชิงชายที่หมายมั่น
เขาว่ารักรักนั้นประการใด
อย่าทำแต่ใจเร็วจะเหลวไหล
มันมักไพล่เพลงขุมเป็นหลุมพลาง
สารพัดเขาจะพูดนี้สุดอย่าง
มาอวดอ้างให้อนงค์หลงอาลัย
จะคาดหน้าแน่ลงที่ตรงไหน
อย่าควรให้ตามคำเขารำพัน
สุดสังเกตเท็จจริงทุกสิ่งสรรพ์
คนทุกวันเชื่อมันยากปากมันโกง
ใครบนบานเข้าสักหน่อยก็พลอยโผง
มันชักโยงอยากกินแต่สินบน
ต้องกำสรดโศกร้างอยู่กลางหน
สืบยุบลเสียให้แน่อย่าแร่ไป
มันชั่วมากนะอนงค์อย่าหลงไหล
แม้หญิงใดร่วมห้องจะต้องจน
เหมือนเลี้ยงเหี้ยอัปรีย์ไม่มีผล
แล้วซุกซนตีชิงเที่ยววิ่งราว
ให้พอใจชกตีเขาหมี่ฉาว
แล้วบอกข่าวโศกศัลย์ถึงภรรยา
มีหาไม่เงินทองก็ต้องหา
ค่าฤชาก็ต้องเสียขายเมียลง
แสนลำบากบอบนักอย่ามักหลง
หน่อยก็ลงจำนำเขาร่ำไป
ก็เบียนเอาสิ้นสุดหาหยุดไม่
อย่าไปไขว้เล่นไปจนโซโทรม
คอยหารือร่วมภิรมย์เมื่อชมโฉม
ต่อล้มโครมแล้วก็ครวญหวนถึงตัว
ต้องรับหนี้ยากแค้นใช้แทนผัว
จะยังชั่วด้วยไม่เฉยซะเลยใจ
จงระวังชั่วช้าอัชฌาสัย
ใช่วิสัยเขาจะชั่วไปทั่วเมือง
ครั้นได้คิดจิตตรอมออกผอมเหลือง
สุดจะเปลื้องราคินจนสิ้นคาว
|
๏
เป็นสตรีสุดดีแต่เพียงผัว
ลงจนสองสามจืดไม่ยืดยาว
ถ้าคนดีมิได้ช้ำระยำยับ
คงมีผู้ชูช่วยประคับประคอง
ถ้าแม้นตัวชั่วช้ำระยำแล้ว
เหมือนทองแดงแฝงเฝ้าเป็นราคี
จงรักตัวอย่าให้มัวราคีหมอง
อย่าเอาผิดมาเป็นชอบประกอบใจ
แม้นรู้จักรักร่างเป็นอย่างยิ่ง
จงกำหนดอุตส่าห์รักษาทรง
อันคำคมลมบุรุษนั้นสุดกล้า
จงระวังตั้งมั่นในสันดาน
เขารักจริงให้สู่ขอกับพ่อแม่
เขาไม่เลี้ยงไล่ขับจะอับอาย
ข้างพ่อแม่ก็จะโกรธพิโรธร่ำ
ด้วยท่านอายขายหน้าประชาชน
ถ้าปะว่าแม่พ่อใจคอร้าย
แม้นชายจนคนขัดพลัดเข้าตัว
จะขึ้งโกรธโทษผู้ใหญ่ว่าไม่รัก
ชั้นพ่อแม่ของตัวไม่กลัวเกรง
ท่านเลี้ยงมาจะให้เป็นหอห้อง
ครั้นลูกตัวชั่วถ่อยน้อยอารมณ์
แม้นลูกดีก็จะมีศรีสง่า
ถึงเพื่อนบ้านฐานถิ่นที่ใกล้ไกล
|
จะดีชั่วก็ยังกำลังสาว
จะกลับหลังอย่างสาวสิเต็มตรอง
ถึงขัดสนจนทรัพย์ไม่เศร้าหมอง
เปรียบเหมือนทองธรรมดาราคามี
จะปัดแผ้วถางฝืนไม่คืนที่
ยากจะมีผู้ประสงค์จำนงใน
ถือทำนองแบบโบราณท่านขานไข
จงอยู่ในโอวาทญาติวงศ์
จะเพริศพริ้งสมสวาทเป็นราชหงส์
อย่าลุ่มหลงด้วยอุบายของชายพาล
เขาย่อมว่ารสลิ้นนี้กินหวาน
อย่าลนลานหลงละเลิงด้วยเชิงชาย
อย่าวิ่งแร่หลงงามไปตามง่าย
ต้องเป็นม่ายอยู่กับบ้านประจานตน
จะจองจำตีโบยออกโหยหน
ไม่รักตนเราจึงต้องมาหมองมัว
กลับซื้อขายคิดเอากับเจ้าผัว
เราทำชั่วก็ต้องขายกายเราเอง
เพราะเราคิดผิดนักไม่เหมาะเหม็ง
ใจตัวเองพาหลงไปลงตม
หมายจะกองทุนสินกินขนม
จึงตรอมตรมโกรธบุตรนี้สุดใจ
ญาติวงศ์พงศาก็ผ่องใส
ก็มีใจสรรเสริญเจริญพร
|
๏ จงรักนวลสงวนนามห้ามใจไว้
คิดถึงหน้าบิดาและมารดร
เมื่อสุกงอมหอมหวานจึงควรหล่น
อย่าชิงสุกก่อนห่ามไม่งามดี
อย่าคิดเลยคู่เชยคงหาได้
อย่าเกียจคร้านงานสตรีจงนิยม
ถ้าแม้นทำสิ่งใดให้ตลอด
เขม้นขะมักรักงานการของตน
เมื่อเหนื่อยอ่อนนอนหลับอยู่กับบ้าน
อะไรฉาวกราวเกรียวอย่าเหลียวแล
ระวังดูเรือนเหย้าแลข้าวของ
เห็นไม่มีแล้วอย่าอ้างว่าช่างมัน
มีสลึงพึงประจบให้ครบบาท
จงมักน้อยกินน้อยค่อยบรรจง
ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ
เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล
ด้วยชนกชนนีนั้นมีคุณ
อุ้มอุทรป้อนข้าวเป็นเท่าไร
ถ้าเราดีมีจิตคิดอุปถัมถ์
จะปรากฎยศยิ่งสิ่งทั้งปวง
เทพไทในห้องสิบหกชั้น
ว่าสตรีนี้เป็นยอดยุพาพาล
๏ ที่บางนางนั้นก็ทำทุจริต
เห็นพ่อแม่ยากไร้ไม่ใยดี
เขาถามไถ่ว่ามิใช่เป็นพ่อแม่
ให้ตามหลังบังคับด้วยคำคม
คนผู้นั้นครั้นตายวายชีวาตม์
ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันพระจันทรา
ถ้าอยู่ไปในมนุษย์โลกเล่า
ให้ยากยับอัปราอนาทร
แม้จะมีเงินทองของทั้งหลาย
จะเกิดโจรราวีอัคคีภัย
หญิงเช่นนี้ชายอย่าได้ไปร่วมรัก
แต่พ่อแม่เจียวยังใจไม่การุญ
ซึ่งสตรีที่ดีอย่าดูเยี่ยง
แม้นร่วมรอยก็จะพลอยระยำมัง
|
อย่าหลงใหลจำคำที่ร่ำสอน
อย่ารีบร้อนเร็วนักมักไม่ดี
อยู่กับต้นอย่าให้พรากไปจากที่
เมื่อบุญมีคงจะมาอย่างปรารมภ์
อุตส่าห์ทำลำไพ่เก็บประสม
จะอุดมสินทรัพย์ไม่อับจน
อย่าทิ้งทอดเที่ยวไปไม่ได้ผล
อย่าซุกซนคบเพื่อนไพล่เชือนแช
อย่าเที่ยวพล่านพูดผลอประจ๋อประแจ๋
ฟังให้แน่เนื้อความค่อยถามกัน
จะบกพร่องอะไรที่ไหนนั่น
จงผ่อนผันเก็บเล็มให้เต็มลง
อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์
อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน
ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน
จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดระทดใจ
ได้การุณเลี้ยงรักษามาจนใหญ่
หมายจะได้พึ่งพาธิดาดวง
กุศลล้ำเลิศเท่าภูเขาหลวง
กว่าจะล่วงลุถึงซึ่งพิมาน
จะชวนกันสรรเสริญเจริญสาร
ได้เลี้ยงท่านชนกชนนี
มิได้คิดคุณท่านเท่าเกศี
ดูเป็นที่อายเพื่อนเบือนอารมณ์
ท่านพูดแก้เกลื่อนกลับจะทับถม
ไม่ชื่นชมยกชูขึ้นบูชา
คงไม่คลาดแคล้วนรกตกถลา
ทรมาน์หมกไหม้ในไฟฟอน
เทพเจ้าท่านก็แช่งแสร้งสังหรณ์
ยิ่งกว่าทำมารดรให้ร้อนใจ
คงฉิบหายมั่นคงอย่าสงสัย
เพราะว่าใจหยาบช้าคิดทารุณ
จะเสื่อมศักดิ์เสียเช่นเป็นสถุล
เนรคุณมิได้คิดอนิจจัง
จงหลีกเลี่ยงเสียให้พ้นคนขี้ถัง
ดุจดังเอาทองแดงเข้าแฝงกุม
|
๏ จะสอนใจไว้ทุกสิ่งเป็นหญิงสาว
ให้ผันผ่อนเหมือนหนึ่งนอนในห่วงรุม
อย่าทำนอกลักษณะจะเป็นโทษ
ถึงจะรักรักให้ยืดอย่าจืดจาง
จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น
ไม่ควรพูดอื้ออึงขึ้นมึงกู
แม้จะเรียนวิชาทางค้าขาย
จึงซื้อง่ายขายดีมีกำไร
เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก
แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา
ถึงชายใดเขาพอใจมาพูดเกี้ยว
เมื่อไม่ชอบก็อย่าตอบเนื้อความตาม
ถึงจะไปในพิภพให้จบทั่ว
จงอุตส่าห์ปกปิดให้มิดเม้น
เมื่อจะจรนอนเดินดำเนินนั่ง
อย่าเหม่อเมินเดินให้ดีมีอาฌา
เห็นผู้ใหญ่หรือใครเขานั่งแน่น
ค่อยวอนว่าข้าขอจรดล
แม้นสมรจะไปนอนที่เรือนไหน
ใครเห็นเข้าเขาจะเล่านินทานาง
ถ้าจะนั่งก็นั่งระวังผ้า
ยามสำรวลก็อย่าสรวลให้เมามัว
เมื่อยามยิ้มก็ยิ้มไว้แต่ในพักตร์
อย่าเท้าแขนเท้าคางให้ห่างกาย
จะแต่งตัวก็อย่ามัวแต่การแต่ง
ใช่บ้านนอกขอกนามาแต่เยิง
|
ให้พ้นคาวข่าวชั่วมามั่วสุม
จงสุขุมคิดแบ่งให้เบาบาง
ตัดประโยชน์พี่น้องเขาหมองหมาง
จะไว้วางกริยาให้น่าดู
อย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหู
คนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจ
อย่าปากร้ายพูดจาอัชฌาสัย
ด้วยเขาไม่เคืองจิตระอิดระอา
จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา
จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ
อย่าโกรธเกรี้ยวโกรธาว่าหยาบหยาม
มันจะลามเล่นเลยเหมือนเคยเป็น
แต่ความชั่วอย่าให้ผู้ใดเห็น
จึงจะเป็นคนดีมีปัญญา
จงระวังในจิตขนิษฐา
แม้นพลั้งพลาดบาทาจะอายคน
อย่าไกวแขนปัดเช่นไม่เห็นหน
นั่นแหละคนจึงจะมีปรานีนาง
อย่าหลับไหลลืมกายจนสายสาง
ความกระจ่างออกกระจายเพราะกายตัว
ไม่อาฌาเขาจะพากันยิ้มหัว
แม้นจะหัวหัวร่อพอสบาย
อย่ายิ้มนักเสียสง่าพาสลาย
อย่ากรีดกรายกรอมเพลาะเที่ยวเราะเริง
อย่าทาแป้งจับกระเหม่าเข้าจนเหลิง
ทำเซาะเซิงเขาจะโห่วิ่งโร่ไป
|
๏
เมื่อยามตรุษยามสงกรานต์มีงานหลวง
ครั้นสิ้นเขตเทศกาลทำงานไป
เมื่อไปเป็นชาววังจึงนั่งแต่ง
ด้วยสำราญการอะไรนั้นไม่มี
อยู่สถานบ้านช่องนั้นต้องคิด
เผื่อมีผัวพลเรือนเหมือนกันนา
รู้วิชาก็ให้รู้เป็นครูเขา
มีข้าไทใช้สอยค่อยสบาย
การวิชาหาประดับสำหรับร่าง
การมิดีมีชั่วมันกลัวเกรง
คิดแต่ยากแต่จนเร่งขวนขวาย
พออิ่มเช้าอิ่มเย็นไม่เป็นไร
ค่อยเสงี่ยมเจียมตนจนเสียก่อน
อย่าเป้อเย้อพกใหญ่ออกให้เกิน
อย่าอวดดีมีทรัพย์เที่ยวจับแจก
ใครจะช่วยตัวเราก็เปล่าดาย
เห็นผู้ดีมีทรัพย์ประดับแต่ง
ของตัวน้อยก็จะถอยไปทุกวัน
จงนุ่งเจียมห่มเจียมเสงี่ยมหงิม
อย่านุ่งลายกรายกรุยทำฉุยไป |
แต่งให้งามตามกระทรวงหาว่าไม่
อย่าร่ำไรผัดหน้าทั้งตาปี
แต่พอแจ้งเข้าก็จับกระจกหวี
จะหาคู่ดูแต่ที่เจ้าพระยา
ให้รู้กิจการหญิงทุกสิ่งสา
จะได้หาเลี้ยงกันจนวันตาย
จึงจะเบาแรงตนเร่งขวนขวาย
ตัวเป็นนายโง่เง่าบ่าวไม่เกรง
อย่าเอาอย่างหญิงโกงมันโฉงเฉง
อย่าครื้นเครงขับร้องคะนองใจ
อย่าให้กายตกยากลำบากได้
อย่าพอใจเชื่อช้ำเขาก้ำเกิน
ค่อยผันผ่อนทีหลังเขาสรรเสริญ
ละเมิดเมินหมิ่นนักมักจะอาย
ทำเกี่ยวแฝกมุงป่าพาฉิบหาย
อย่ามักง่ายเงินทองของสำคัญ
อย่าทำแข่งวาสนากระยาหงัน
เหมือนตัดบั่นต้นทุนสูญกำไร
อย่ากระหยิ่มยศถาอัชฌาสัย
ตัวมิใช่ชาววังไม่บังควร |
๏ อย่าคบพวกหญิงพาลสันดานชั่ว
สุริย์ฉายบ่ายคล้อยเที่ยวลอยนวล
พอรุ่งเช้าเฝ้าแต่มองส่องเกศี
ตรงการงานขี้คร้านเป็นกังวล
ครั้นได้ยินเสียงกลองมาก้องหู
วันนี้มีละครใครที่ไหนมา
นั่งพินิจพิศโฉมประโลมหลง
บ้างก็เห็นว่างามเลยตามไป
บ้างก็รักข้างนักเลงเล่นเครงครื้น
ห่มเพลาะดำทำปลอมออกกรอมกาย
ครั้นไปไปใจแตกลงแหกคอก
ควาญหมอรอไม่ติดเห็นผิดเชิง
ใครจะห้ามปรามไว้ก็ไม่ฟัง
ถือว่าตนเปรื่องฉลาดปราชญ์ประเปรียว
พูดก็มากปากก็บอนแสนงอนนัก
เที่ยวรอนราญจนเพื่อนบ้านเขาระอา
ที่ส่วนตัวถึงจะชั่วออกล้นพ้น
ไม่ทำมาหากินจนสิ้นแกน
หญิงเช่นนี้เห็นไม่มีเจริญแล้ว
ลงสูบฝิ่นกินเหล้าอยู่เมามาย
มือก็ไวใจก็กล้าหน้าก็ด้าน
แต่ผ้าขาดก็ไม่ปรารถนาเย็บ
อันการเหย้าไม่เอาเป็นธุระ
คบกันได้แต่นิสัยพวกแชเชือน
ชั้นจะยืมของใครเขาไม่เชื่อ
ปากก็หวานเหมือนน้ำตาลเพชรบุรี
แม้นใครไปสมทบเข้าคบค้า
มีแต่ภัยให้ระยำทุกค่ำคืน
หญิงไม่ดีนั้นก็มีอยู่หลายพวก
ที่คนดีจะได้ดูให้รู้ครบ
|
ที่แต่งตัวไว้จริตผิดกระสวน
เป็นเชิงชวนพวกเจ้าชู้เขารู้กล
ให้เวียนหวีได้วันละพันหน
แต่งแต่ตนมิได้เว้นสักเวลา
ยังไม่รู้เนื้อความเที่ยวถามหา
แม้นรู้ว่าเจ้ากรับเต้นหรับไป
ดูจนปลงกรรมฐานเหงื่อกาฬไหล
ช่างกระไรหนอขนิษฐ์ไม่คิดอาย
เที่ยวกลางคืนคบเพื่อนเดือนหงายหงาย
พวกผู้ชายชักพาเที่ยวร่าเริง
ปะแตกปลอกต้ำผางวางจนเหลิง
จะเปิดเปิงเข้าป่าไปท่าเดียว
ทำส่งเสียงเถียงดังให้กราดเกรี้ยว
ประจบเที่ยวรู้จักทุกพักตรา
เห็นเขารักกันไม่ได้ใจอิจฉา
นั่งที่ไหนให้นินทาเขาเป็นแดน
สู้ปิดปากยกตนนี่สุดแสน
ก็เลยแล่นเข้าบ่อนนอนสบาย
ให้แว่วแว่วอยู่ข้างทางฉิบหาย
ไม่เสียดายอินทรีย์เท่าขี้เล็บ
จะเอาขวานไปถากไม่อยากเจ็บ
ขี้เกียจเก็บพลัดวางได้กลางเรือน
คิดแต่จะเที่ยวตลบไปคบเพื่อน
จะคบคนพลเรือนก็เต็มที
ด้วยตัวเหลือโป้ปดสบถถี่
ข้าวของมีให้ไปไม่ได้คืน
จนชั้นผ้าไม่ติดตัวแต่สักผืน
ใครจะชื่นชมชิดไปคิดคบ
จำจะบวกบอกใส่เสียให้จบ
หล่อนจะได้ไม่คบพวกคนพาล
|
๏ หญิงพวกหนึ่งนั้นขันทำปั้นเจ๋อ
ไม่เจียมจนเลยว่าตนต่ำสันดาน
ล้วนคุณลุงคุณปู่อยู่ทุกแห่ง
พวกผู้ดีไม่นึกตรึกเจรจา
ช่างพูดได้ไม่อายแก่ปลายลิ้น
ถึงพูดไปใครเขาจะเห็นจริง
ถึงจะอวดอ้างไปที่ไหนนั่น
ถ้าสันดานการผู้ดีคงมีรอย
อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้เกินศักดิ์
เปรียบเหมือนเกลือเจือปนกับชลธี
ที่บางคนจนยากไม่อยากทุกข์
อุตส่าห์แต่งแป้งขมิ้นไม่สิ้นคราว
ทำไมแก่เงินทองของทั้งหลาย
ถือว่ารูปกูงามไม่คร้ามจน
สุภาษิตท่านประดิษฐ์ประดับไว้
ถึงเป็นองค์สุริย์วงศ์พระจักรี
ทุกวันนี้มีทรัพย์เขานับหน้า
ถึงงามพักตร์เขาจะรักเจ้าเพียงไร
|
เฝ้าเป้อเย้อหยิ่งเกินกับภูมิฐาน
เห็นที่ท่านเป็นขุนนางอ้างเข้ามา
เที่ยวแอบแฝงพิงพาดวาสนา
เป็นพี่น้องร่วมฟ้านั้นเห็นจริง
เป็นคนสิ้นความคิดผิดผู้หญิง
เขาว่าหยิ่งยกยศเหมือนมดตะนอย
เขารู้ทันอยู่ว่าเช่นเจ้าเป็นหอย
ไม่กล่าวถ้อยเขาก็รู้ว่าผู้ดี
เขาจะมักเหม็นปากเหมือนซากผี
มันก็มีแต่จะจืดไม่ยืดยาว
ถือว่าสุขอยู่แก่ตาข้าเป็นสาว
ไม่สร้อยเศร้าสู้ตาประชาชน
เห็นหาง่ายสารพัดไม่ขัดสน
ลงแต่งตนขายกินจนสิ้นดี
ว่าผู้ใดงามพักตร์สมศักดิ์ศรี
แม้นไม่มีสินทรัพย์ก็ลับไป
อย่าถือว่าตนงามตามวิสัย
เขาคาดใจเสียว่าเจ้าขี้เกียจการ
|
๏ ที่บางคนเห็นที่ท่านมีทรัพย์
ประกอบผูกลูกสะกดสร้อยสังวาลย์
เจ้าคนจนมันให้ร่ำจะทำบ้าง
แต่ตัวจนอ้นอั้นตันในคอ
หาทองแท้แก้ไขมันไม่คล่อง
แต่ล้วนเนื้อสิบน้ำทองคำทวาย
แพงไม่เบาเขายังกล้าอุตส่าห์ซื้อ
ถึงจนยากอยากบำรุงให้รุ่งเรือง
ก็สาสมกับอารมณ์ไม่เจียมศักดิ์
ผู้ดีว่าแล้วขี้ข้าก็พลอยตาม
เขาจึงว่าหน้าสดปรากฎอยู่
เมื่อน้ำตื้นขืนจะพายไปฝ่ายเดียว
เหมือนหิ่งห้อยน้อยสีหรี่หรุบรู่
เห็นไม่ถึงดอกอย่าโกยไปโดยแรง
๏ ยังมีพวกหนึ่งนั้นขยันยิ่ง
เที่ยวยักย้ายร่ายชมภิรมย์รส
จะรักไหนก็ไม่รักสมัครมั่น
ชู้ต่อชู้รู้เรื่องเคืองระคาง
เพราะนารีมิได้ตรงจำนงหมาย
เหมือนพวกนางโมราวิลาวัณย์
โอ้ใจนางอย่างนี้ก็มีมั่ง
เพราะนิสัยใจขนิษฐ์เล่นปลิดโยน
ต่างคนต่างก็เชือนออกเบือนเบื่อ
อันผัวดีที่จะได้อย่าหมายเลย |
แต่งประดับผิวพรรณในสัณฐาน
แลละลานล้วนสุวรรณอันลออ
เอาเยี่ยงอย่างอยากได้น้ำลายสอ
ลงเที่ยวผลอไพล่เผลเพทุบาย
ต้องเอาทองเสาชิงช้าน่าใจหาย
สายสร้อยสายหนึ่งก็ถึงสลึงเฟื้อง
ผูกข้อมือแลงามอร่ามเหลือง
จนทองเหลืองไม่ละจะกละงาม
ทรลักษณ์เหลือตัวชั่วส่ำสาม
ไม่มีความอายจิตสักนิดเดียว
สมกับผู้ที่ไม่ตรึกนึกเฉลียว
ไม่ถึงเลี้ยวก็จะล่มไปจมแปลง
จะแข่งสู้สุริยาอันกล้าแข็ง
เขาจะแสร้งสรวลว่าเป็นบ้ายศ
เป็นผู้หญิงสองใจไม่กำหนด
ใครมาจดโผจับรับตะกาง
เล่นประชันเชิงลองทั้งสองข้าง
ก็ขัดขวางหึงสาจะฆ่าฟัน
ทำให้ชายเคืองแค้นแสนกระสัน
ยื่นพระขรรค์ผัวให้กับไอ้โจร
จนลือดังข่าวก้องดังกลองโขน
จนมาโดนกันกระดากไม่อยากเชย
ต้องเป็นเรือขึ้นคานอยู่เฉยเฉย
ด้วยมากเชยหลายชู้เขารู้กล
|
๏
บ้างลอบเล่นเพลงยาวเมื่อคราวขัด
ที่ไม่สู้รู้กลอนยังร้อนรน
บ้างก็เล่นปริศนาเที่ยวหาของ
ครั้นห่อเสร็จส่งให้กับชายชาญ
ครั้นคิดคิดปริศนานั้นช้าเนิ่น
ทำดื้อด้านหาญหักไม่รักงาม
ชนิดนางอย่างนี้มีชุมนัก
ต้องกินยาเข้าสุราพริกไทยปน
รักสนุกครั้นได้ทุกข์แล้วถอยคิด
เทพเจ้าท่านไม่เข้าด้วยคนร้าย
ครั้นคิดล้างอย่างไรก็ไม่สูญ
ทำอย่างไรมันก็ไม่มรณา
ถ้ารู้ถึงพ่อแม่ต้องแก้ไข
แล้วหาผัวตัวประจำเป็นสำเนา
ที่ชายโหดโฉดเขลาเข้าไปรับ
ดังแผ่นดินสิ้นหญ้าสุธาแพลง
ไม่คิดอายขายหน้านิจจาเอ๋ย
ลูกของเขาเอาเป็นสิทธิ์เฝ้าชิดเชื้อ
เหมือนเช่นเราเขาจะให้ก็ไม่รัก
ถึงรูปร่างอย่างยุพินกินรี
เป็นขนิษฐ์ชอบแต่คิดให้เป็นหนึ่ง
เอ่ยว่ารักแล้วให้ได้ร่วมเรียง
ท่านเปรียบมาเหมือนหนึ่งตราราชสีห์
เป็นอนงค์แล้วก็คงจะเป็นเมีย
ที่เกิดมาเป็นนารีไม่มีค่า
เหมือนกรวดทรายปรายเล่นไม่เว้นวาง
เมื่อไม่ถือตราภูมิไว้คุ้มห้าม
แม้นรู้จักรักษาถือตราไว้
อย่าจับปลาสองหัตถ์จะพลัดพลาด
จึงนับว่าคนดีไม่มีมัว
เป็นผู้หญิงสิ่งใดจะล้ำเลิศ
ถึงรูปทรงนงคราญจะพาลคลาย
๏ บ้างมีผัวตัวอยู่เป็นคู่ชื่น
ทำรักซ้อนซ่อนสนิทปิดเนื้อความ
ครั้นรู้ความถามไถ่ก็ไม่รับ
พลอยประจบหลบความไปตามเพลง
ทำองอาจพลาดพลั้งลงทั้งคู่
ไม่แปรดแปร้นแสนสลดเหมือนทศกัณฐ์
เคยที่นอนหมอนหนุนละมุนนิ่ม
เล็นก็กัดหมัดก็กินจนสิ้นนวล
ครั้นเห็นชู้คู่ชมภิรมย์รื่น
จะพึ่งชู้ชู้ก็เพียบกรอบเกรียบใจ
ตระลาการท่านถามเอาความชั่ว
เขาเฮฮาหน้าสลดต้องอดทน
ครั้นซักไซ้ไต่ถามได้ความชัด
ถ้ารักชู้ก็ให้อยู่กับชู้ชาย
ก็สาสมกับอารมณ์สตรีชั่ว
ไปคบชู้ชู้ชักหักทั้งยืน
ที่ใครเห็นจะเมตตานั้นหายาก
ก็เพราะเหตุตัวชั่วลือขจร
ครั้นลำบากยากจิตสิได้คิด
ใช่ไม่รู้เขาห้ามความถ้อยมี
เออก็ใจเป็นไฉนนะน้องเอ๋ย
ช่างไม่คร้ามความชั่วติดตัวตน
มันเสียแล้วถึงจะฝืนไม่คืนศักดิ์
อันความชั่วติดตัวกว่าจะตาย
ถึงบินออกนอกตำบลให้พ้นเขต
ห้ามมันยากปากมนุษย์นี้สุดยาว
ผู้ใดคิดผิดพลั้งเหมือนอย่างว่า
ควรยับยั้งชั่งใจเสียให้ดี
แม้นชั่วช้าใครว่าแล้วโกรธเขา
จะวิบัติบาปกรรมซ้ำหนักไป
แม้คนดีมีปัญญาถ้าไม่โกรธ
ให้พ้นทุกข์สุขีเป็นศรีเมือง
|
ฝีปากจัดตอบต่อข้อนุสนธิ์
เที่ยววานคนแต่งให้พอได้การ
ให้ถูกต้องตามอารมณ์ประสมประสาน
บอกอาการเรื่องรักประจักษ์ความ
ชวนกันเดินหลีกออกนอกสนาม
จนเลยลามลืมบ้านสถานตน
เป็นโรครักเกิดมารศีรษะขน
หมายประจญจะให้ดับที่อับอาย
จะปกปิดเปลวไฟไม่เห็นหาย
คงก่อกายขึ้นให้เห็นไว้เป็นตรา
ก็อาดูรพูนเกิดสหัสสา
เป็นเวราบาปนั้นไม่บรรเทา
เอาลูกไปมุ่งหมกยกให้เขา
พอปัดเป่าความอายให้หายแคลง
มันช่างหลับตาสนิทไม่คิดแหนง
มาแอบแฝงเอามันเป็นว่านเครือ
เหมือนไม่เคยพบปะจะกละเหลือ
นึกว่าเนื้อบุญธรรมกรรมไม่มี
มันขายพักตร์สารพัดจะบัดสี
แต่เช่นนี้แล้วไม่ปองประคองเคียง
ไม่ควรถึงอย่าให้ถึงกับปากเสียง
เป็นคู่เคียงของตัวว่าผัวเมีย
ไม่พอที่เสียนวลไม่ควรเสีย
ย่อมมีเบี้ยปรับไหมวิสัยนาง
จะเกิดมาทำไมให้หมองหมาง
จะเอาอย่างนางโมราหรือว่าไป
คนจึงลามเลยลวนมากวนได้
จะคุ้มภัยให้พ้นมีคนกลัว
จับให้คงลงให้ขาดว่าเป็นผัว
ถ้าชายชั่วร้างไปมิใช่ชาย
สุดประเสริฐก็แต่ใจไม่เสื่อมสลาย
ก็จะกลายส่งสวยด้วยใจงาม
ยังหาอื่นเข้าประคองเป็นสองสาม
จนเลยลามเป็นระฆังดังขึ้นเอง
เขาเฆี่ยนขับตีด่าว่าข่มเหง
เพราะผัวเองจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
เขาจับได้ชายชู้ดูน่าขัน
ต้องโศกศัลย์เศร้าใจอยู่ในตรวน
ไปนอนทิมกรากกรำเฝ้ากำสรวล
แลแต่ล้วนลูกความออกหลามไป
ก็ไม่ชื่นชมชิดพิศมัย
จะพึ่งผัวตัวก็ไม่เมตตาตน
ข้างตัวกลัวก็บอกออกนุสนธิ์
แทบจะด้นดำดินให้สิ้นอาย
จึงจำกัดศักดินาราคาขาย
มันเบื่อหน่ายขายกลับเอาทรัพย์คืน
อยู่กับผัวร่วมใจว่าไม่ชื่น
ต้องกล้ำกลืนชลนัยน์อาลัยวอน
มีแต่ปากแช่งอนงค์ส่งสลอน
ที่เคยนอนนั่งสบายว่าไม่ดี
แต่มันผิดเสียถนัดต้องบัดสี
ชั่วหรือดีได้ยินสิ้นทุกคน
มันจึงเลยไหลฉ่ำดังน้ำฝน
ทำซุกซนจนได้ยากลำบากกาย
จะลงรักทองปิดไม่มิดหาย
เปรียบเหมือนกายกามีราคีคาว
คงบอกเหตุรู้ว่าใช่กาขาว
ไม่แกล้งกล่าวค่อนว่าแก่นารี
ถูกตำราแล้วอย่าโกรธพิโรธพี่
ถ้าหลีกลี้เลิกเล่นไม่เป็นไร
เช่นตัวเราผู้แต่งแถลงไข
ถึงตกใต้เทวทัตเพราะขัดเคือง
เห็นประโยชน์ตัดชั่วในตัวเปลื้อง
อย่าแค้นเคืองคำข้าขออภัย
|
๏ เป็นสตรีมิใช่ชายเสียดายศักดิ์
อันความดีมีอยู่ดูจำไว้
จะมีคู่ก็ให้รู้ปรนนิบัติ
อย่าคิดร้ายย้ายแยกทำแปลกปลอม
อย่าคบชู้สู่สมนิยมหวัง
เขารักหลอกหยอกเล่นดอกเช่นนี้
ธุระอะไรจะให้มันเสียของ
เพราะเชื่อใจภรรยายิ่งกว่าเกลอ
จะมีจิตพิศวาสไม่คลาดเคลื่อน
แม้นนอกจิตคิดร้ายหมายประจญ
จงกันภัยในเล่ห์เสน่หา
เอาความสัตย์ตัดตั้งปฏิญาณ
จงซื่อต่อภัสดาสวามี
อย่าให้มีราคินที่กินใจ
ถึงที่สุดทดลองก็ทองแท้
หญิงเดี๋ยวนี้แม้นมีสัตยา
๏
แม้นเขารักแล้วอย่าดื้อทำถือจิต
คำนับนอบสามีทุกวี่วัน
ยามสิ้นแสงสุริยาอย่าไปไหน
ระวังดูปูปัดสลัดที่นอน
ถ้าแม้นว่าภัสดาเข้าไสยาสน์
เขาเหนื่อยเหน็บเจ็บปวดในทรวงทรง
ประพฤติกายสายสมรจะนอนหลับ
นอนให้ดีมีสติสิริเรา
จงรีบฟื้นตื่นก่อนภัสดา
จึงหุงข้าวต้มแกงแต่งสำรับ
ทั้งกระโถนคนทีขัดสีไว้
อีกน้ำท่าอย่าให้ผงลงไปกวน
แม้นรู้ว่าสามีจะไปไหน
ประจงปลุกภัสดาอย่าช้านาน
จงระวังนั่งดูอยู่ใกล้ใกล้
อย่าให้ต้องร้องตะโกนโพนทะนา
อยู่จนผัวรับประทานอาหารแล้ว
อย่ากินก่อนภัสดาดูน่าชัง
|
จะปลูกรักเรรวนหาควรไม่
อย่าพอใจรักชั่วให้มัวมอม
จงซื่อสัตย์สุจริตคิดถนอม
มโนน้อมเสน่หาต่อสามี
ไม่จีรังกาลดอกบอกโฉมศรี
ถ้าแม้นมีข้าวของต้องบำเรอ
อันเงินทองผัวสิทำสน่ำเสนอ
ควรบำเรอลูกผัวของตัวตน
เพราะแม่เรือนร่วมใจจึงได้ผล
จะพาตนยากยับอัประมาณ
อย่าให้มาปนปะจงประหาร
ถึงเกิดการยากเข็ญไม่เป็นไร
จนชีวีศรีสวัสดิ์เจ้าตัดษัย
อุปไมยเหมือนอนงค์องค์สีดา
ด้วยนางแน่อยู่ในสัจอธิษฐาน์
ภัสดาก็ยิ่งรักขึ้นหนักครัน
เร่งเกรงผิดกลัวใจใหญ่มหันต์
อย่าดุดันดื้อดึงตะบึงบอน
จุดไต้ไฟเข้าไปส่องในห้องก่อน
ทั้งฟูกหมอนอย่าให้มีธุลีลง
จงกราบบาททุกครั้งอย่าพลั้งหลง
ช่วยบรรจงนวดฟั้นให้บรรเทา
อย่ากลิ้งกลับมือไม้ไปป่ายเขา
อย่าซมเซาอยู่จนแจ้งแสงพยับ
น้ำล้างหน้าหาไว้ให้เสร็จสรรพ
จัดประดับเทียมทำให้น้ำนวล
ให้ผ่องใสสวยตาดูน่าบ้วน
จงใคร่ครวญพิเคราะห์ให้เหมาะการ
แต่ยังไม่ตื่นพรากจากสถาน
ให้ลุกขึ้นรับประทานโภชนา
เผื่ออะไรมันขาดจะเรียกหา
จงอุตส่าห์ตั้งใจระไวระวัง
นางน้องแก้วเจ้าจงกินเมื่อภายหลัง
เขาจะรังเกียจใจดูไม่ดี
|
๏ ถ้าผัวทำราชการพระผ่านเกล้า
ทั้งล่วมปัดจัดแจงแต่งให้ดี
อุตส่าห์ทำบำเรอเสนอสนอง
ปรนนิบัติภัสดาอย่าราคิน
๏ เกิดเป็นหญิงให้เห็นว่าเป็นหญิง
เป็นหญิงครึ่งชายครึ่งอย่าพึงใจ
แม้นผัวเดือดเจ้าจงดับระงับไว้
เขาเป็นไฟเราเป็นน้ำค่อยพรำพรม
อันโมโหโทโสไม่อดได้
ที่ชาวบ้านท่านไม่รู้จะรู้ความ
เอาใจผัวผัวจะรักเจ้าหนักหนา
แม้นผัวทุกข์ขุกไข้ไม่เสบย
จงแย้มสรวลชวนปลอบให้ชอบชื่น
ค่อยถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงฤทัย
จะพูดจาสารพัดประหยัดปาก
ความสิ่งไรในจิตจงปิดงำ
การสิ่งไรที่ชั่วผัวเขาห้าม
อย่าดึงดื้อถือตนเป็นคนเชือน
๏ แม้นพิโรธโกรธขึ้งกับภัสดา
พึ่งข่มขืนกลืนไว้ในอุรัง
จึงจะว่านารีมีความคิด
ถึงใครรู้อยู่ว่าคมต้องชมเรา
การนินทาด่าผัวนั้นชั่วถ่อย
ถึงร้างหย่าหาใหม่วิสัยมี
บ้างทำกลัวตัวสั่นแต่ต่อหน้า
ครั้นผัวเดินเกินเลยเฉยเฉียดไป
ทำเสงี่ยมเจียมตัวผัวไม่เห็น
ครั้นว่าเขาเข้าใจรู้ไหวพริบ
๏ บางนารีที่เป็นนางใจร้ายกาจ
สำรากก้องร้องแทรกแหกกระแซง
ขู่คำรนบ่นว่าด่าประชด
ลุอำนาจไม่อาจขยาดตัว
ทรมานภัสดาน่าสังเวช
ยังมิหนำซ้ำป่าวเหล่านารี
ข้างฝ่ายผัวใจดีมิได้ว่า
ดูเหมือนแม่กับลูกผูกขึ้นชู
ช่างกระไรใจคอมันอดได้
จึงยอมตัวกลัวเมียจนหัวมุด
เหมือนเช่นเราแล้วไม่ต้องให้ตีตบ
จะถีบถองเสียให้ยับไล่ขับกัน
๑___สุภาษิตซึ่งประดิษฐ์มาไว้นี้
ใช่จะแกล้งแต่งคำมารำพัน
จะร่ำไปสักเท่าไรก็ไม่หมด
อุตส่าห์ตรองตริตรึกนึกจำเนียร
พอเป็นเรื่องสำหรับดับทุกข์โทษ
เป็นตำหรับแบบฉบับไปยืดยาว
ข้อไหนชั่วแล้วอย่ามัวไปขืนทำ
เก็บประกอบเอาแต่ชอบในเรื่องความ
อย่าฟังเปล่าเอาแต่กลอนสุนทรเพราะ
ไว้เป็นแบบสอนตนพ้นราคี
ให้สุขีศรีเมืองเลื่องลือฟุ้ง
เป็นที่ชื่นเช่นอย่างนางสีดา |
เคยเข้าเฝ้าสู่วังนรังศรี
หมากบุหรี่หาใส่ให้ไปกิน
ตามทำนองมิ่งมิตรเป็นนิจสิน
จึงจะภิญโญยศปรากฎไป
อย่าทอดทิ้งกริยาอัชฌาสัย
ใครเขาไม่สรรเสริญเมินอารมณ์
อย่าพอใจขึ้นเสียงเถียงประสม
แม้นระดมขึ้นทั้งคู่จะวู่วาม
ความในใจก็จะดังออกกลางสนาม
อย่าทำตามใจนักมักจะเคย
หมั่นนำพาการเรือนอย่าเชือนเฉย
อย่าวายเวยลามลวนให้กวนใจ
เห็นเริงรื่นหัทยาจึงปราศรัย
แม้นสิ่งไรเขาไม่ชื่นอย่าขืนทำ
อย่าพูดมากเติมต่อซึ่งข้อขำ
อย่าควรนำแนะออกไปนอกเรือน
ประพฤติตามแบบแผนให้แม้นเหมือน
จะเอ่ยเอื้อนโอภาให้น่าฟัง
อย่านินทาว่าผัวตัวลับหลัง
อุตส่าห์บังกลบเกลื่อนที่เงื่อนเงา
รู้ปกปิดมิดโทษไม่โฉดเขลา
หนึ่งผัวเขาเล่าก็เห็นว่าเป็นดี
เป็นคนน้อยปัญญาเสียราศี
ชายที่ดีรู้กำพืดก็จืดไป
ถึงตีด่าก็นิ่งไม่ติงไหว
ก็ด่าให้ไม่ดังตั้งกระซิบ
ดูเหมือนเช่นปากว่าตาขยิบ
ก็ต้องริบต้องร้างระคางแคลง
หมิ่นประมาททุ่มเถียงส่งเสียงแข็ง
ตะคอกแกล้งข่มขี่ให้ผัวกลัว
ให้สามีอัปยศลงหดหัว
มัดมือผัวผูกแขนแค่นเฆี่ยนตี
ดูเหมือนเปรตเวทนาน่าบัดสี
ที่ไม่มีภัสดาให้มาดู
นิ่งให้เมียเฆี่ยนด่าน่าอดสู
มิได้สู้รบรับสัประยุทธ์
ดูเหมือนไม่มีจิตผิดบุรุษ
น้อยมนุษย์ที่จะเป็นได้เช่นนั้น
คงสู้รบโต้เต็มให้เข้มขัน
ร้างหย่ามันเสียให้ค้างอยู่กลางคัน
ล้วนแต่มีเยี่ยงอย่างดังเสกสรร
คนทุกวันอย่างนี้มีอาเกียรณ์
ขี้เกียจจดเหน็ดเหนื่อยเมื่อยมือเขียน
ตั้งความเพียรผูกข้อต่อเรื่องราว
เป็นประโยชน์แก่สตรีที่สวยสาว
ในเรื่องราวสุภาษิตลิขิตความ
จงจดจำบุญบาปอย่าหยาบหยาม
ประพฤติตามห้ามใจเสียให้ดี
จงพิเคราะห์คำเลิศประเสริฐศรี
กันบัดสีคำค่อนคนนินทา
หอมจรุงกลิ่นกลั้วทั่วทิศา
ในใต้หล้าหมายประคองตัวน้องเอย
|
|
2.สุภาษิตสวัสดิรักษา
๏สุนทรทำคำสวัสดิรักษา
ถวายพระหน่อบพิตรอิศรา
เป็นของคู่ผู้มีมีอิสริยยศ
สืบอายุสุริย์วงศ์พงศ์ประยูร
อย่าลืมหลงจงอุตส่าห์รักษาสิริ
ว่าเช้าตรู่สุริโยอโณทัย
ผินพักตร์สู่บูรพ์ทิศแลทักษิณ
ที่นับถือคือพระไตรสรณา
แล้วเอื้อนอรรถตรัสความที่ดีก่อน
ด้วยราศีที่ชะลอนรลักษณ์
ยามกลางวันนั้นว่าพระราศี
พระอุระประสุคนธ์วิมลมาลย์
ครั้นพลบค่ำคล้ำฟ้าสุธาวาส
จงรดน้ำชำระซึ่งราคี
เสวยนั้นผันพระพักตร์ไปบูรพ์ทิศ
แม้นผินพักตร์ทักษิณถิ่นมณฑล
ทิศประจิมอิ่มเอมเกษมสุข
แต่ทิศเหนือเหลือร้ายวายชีวา
|
ตามพระบาลีเฉลิมให้เพิ่มพูน
จะปรากฏเกิดลาภไม่สาบสูญ
ให้เพิ่มพูนภิญโญเดโชชัย
ตามคติโบราณท่านขานไข
ตื่นนอนให้ห้ามโมโหอย่าโกรธา
เสกวารินด้วยพระธรรมคาถา
ถ้วนสามคราจึงชำระสระพระพักตร์
จะถาวรพูนเกิดประเสริฐศักดิ์
อยู่พระพักตร์แต่ทิวาเวลากาล
สถิตที่วรองค์ให้สรงสนาน
จะสำราญโรคาไม่ราคี
ฝ่ายเบื้องบาทซ้ายขวาเป็นราศี
ห้ามสตรีอย่าให้พาดบาทยุคล
เจริญฤทธิ์ชันษาสถาผล
ไม่ขาดคนรักใคร่เวียนไปมา
บรรเท่าทุกข์ปรากฏด้วยยศถา
ทั้งชันษาทรุดน้อยถอยทุกปี ฯ
|
๏
อนึ่งนั่งบังคนอย่ายลต่ำ
ผินพักตร์สู่อุดรประจิมดี
แล้วสรงน้ำชำระพระนลาฏ
เสด็จไหนให้สรงชลธาร
๏ อนึ่งพระองค์ทรงเจริญเพลินถนอม
ภิรมย์รสอตส่าห์สรงพระคงคา
๏ อนึ่งวันชำระสระพระเกล้า
ตัดเล็บวันพุธจันทร์กันจังไร
๏ อนึ่งภูษาผ้าทรงณรงค์รา
วันอาทิตย์สิทธิโชคโฉลกดี
เครื่องวันจันทร์นั้นควรสีนวลขาว
อังคารม่วงช่วงงามสีครามปน
เครื่องวันพุธสุดดีด้วยสีแสด
วันพฤหัสจัดเครื่องเขียวเหลืองดี
วันเสาร์ทรงดำจึงล้ำเลิศ
หนึ่งพาชีขี่ขับประดับงาม
๏ อนึ่งว่าถ้าจะลงสรงสนาน
พระพักตร์นั้นผันล่องตามคลองไป
อย่าผินหน้าฝ่าฝืนขึ้นเหนือน้ำ
เมื่อสรงน้ำสำเร็จเสร็จธุระ
๏ อนึ่งวิชาอาคมถมถนำ
จึงศักดิ์สิทธิ์ฤทธิรณพ้นไพริน
๏ อนึ่งสุนัขมักเฝ้าแต่เห่าหอน
เสียสง่าราศีมักมีภัย
อนึ่งเขฬะอย่าถ่มเมื่อลมพัด
อนึ่งพบปะพระสงฆ์ทรงศีลา
อนึ่งอย่าว่าแดดแลลมฝน
เมื่อเช้าตรู่สุริยงจะลงลับ
อนึ่งเล่าเข้าที่ศรีไสยาสน์
เป็นนิรันดร์สรรเสริญเจริญพร
|
อย่าบ้วนน้ำลายพาเสียราศี
ไม่ต้องผีคุณไสยพ้นภัยพาล
จึงผุดผาดผิวพรรณในสัณฐาน
เป็นฤกษ์พารลูบไล้แล้วไคลคลา ฯ
อย่าให้หม่อมห้ามหลับทับหัตถา
เจริญราศีสวัสดิ์ขจัดภัย ฯ
อังคารเสาร์สิ้นวิบัติปัดไถม
เรียนสิ่งใดวันพฤหัสสวัสดี ฯ
ให้มีครบเครื่องเสร็จทั้งเจ็ดสี
เอาเครื่องสีแดงทรงเป็นมงคล
จะยืนยาวชันษาสถาผล
เป็นมงคลขัตติยาเข้าราวี
กับเหลือบแปดปนประดับสลับสี
วันศุกร์สีเมฆหมอกออกสงคราม
แสนประเสริฐเสี้ยนศึกจะนึกขาม
ให้ต้องตามสีสันจึงกันภัย ฯ
ทุกห้วยธารเถื่อนถ้ำแลน้ำไหล
ห้ามมิให้ถ่ายอุจจาร์ปัสสาวะ
จะต้องรำเพรำพัดซัดมาปะ
คำนับพระคงคาเป็นอาจิณ ฯ
เวลาค่ำควรคิดเป็นนิจศีล
ให้เพิ่มภิญโญยศปรากฏไป ฯ
อย่าขู่ค่อนด่าว่าอัชฌาสัย
คนมิได้ยำเยงเกรงวาจา
ไปถูกสัตว์เสื่อมมนต์ดลคาถา
ไม่วันทาถอยถดทั้งยศทรัพย์
อย่ากังวลเร่งวันให้พลันดับ
จงคำนับสุริยันพระจันทร
อย่าประมาทหมั่นคำนับลงกับหมอน
คุณบิดรมารดาคุณอาจารย์ ฯ
|
๏
อนึ่งผ้าทรงจงนุ่งเหน็บข้างขวา
อนึ่งอย่าไปใต้ช่องคลองตะพาน
ทั้งไม้ลำค้ำเรือนแลเขื่อนคอก
ถึงฤทธิ์เดชเวทมนตร์ดลจะดี
อนึ่งไปไหนได้พบอสภซาก
ให้สรงน้ำชำระพระพักตรา
๏ อนึ่งเครื่องผูกลูกสะกดตระกรุดคาด
เครื่องอาวุธสุดห้ามอย่าข้ามกราย
อนึ่งวันจันทร์คราสตรุษสารทสูรย์
ทั้งวันเกิดเริดร้างให้ห่างไกล
แม้นสตรีมีระดูอย่าอยู่ด้วย
มักเกิดมีฝีพองเป็นหนองพุ
๏ อนึ่งนั้นวันกำเนิดเกิดสวัสดิ์
อายุน้อยถอยเลื่อนทุกเดือนปี
อนึ่งบรรทมถ้าลมคล่องทั้งสองฝ่าย
ข้างขวาคล่องต้องกลับทับซ้ายมา
อนึ่งว่าถ้าจะจรแลนอนนั่ง
คือคุณผีปิศาจอุบาทว์ยักษ์
๏ ขอพระองค์จงจำไว้สำเหนียก
สำหรับองค์พงศ์กษัตริย์ขัตติยา
บทโบราณท่านทำเป็นคำฉันท์
จึงกล่าวกลับซับซ้อนเป็นกลอนไว้
สนองคุณมุลิกาสามิภักดิ์
แม้นผิดเพี้ยนเปลี่ยนเรื่องเบื้องโบราณ
|
กันเขี้ยวงาจระเข้เดรัจฉาน
อย่าลอดร้านฟักแฟงแรงราคี
ใครลอดออกอัปลักษณ์เสียศักดิ์ศรี
ตัวอัปรีย์แปรกลับให้อัปรา
อย่าออกปากทักทายร้ายนักหนา
ตามตำราแก้กันอันตราย ฯ
เข้าไสยาสน์ยามหลับทับฉลาย
อย่านอนซ้ายสตรีมักมีภัย
วันเพ็ญบูรณ์พรรษาอัชฌาสัย
ห้ามมิให้เสนหาถอยอายุ
ถ้ามิม้วยก็มักเสียจักขุ
ควรทำนุบำรุงองค์ให้จงดี ฯ
อย่าฆ่าสัตว์เสียสง่าทั้งราศี
แล้วมักมีทุกข์โศกโรคโรคา
พระบาทซ้ายอย่าพาดพระบาทขวา
เป็นมหามงคลเลิศประเสริฐนัก
สำเนียงดังโผงเผาะเกาะกุกกัก
ใครทายทักถูกฤทธิ์วิทยา ฯ
ดังนี้เรียกเรื่องสวัสดิรักษา
ให้ผ่องผาสุกสวัสดิ์ขจัดภัย
แต่คนนั้นมิใคร่แจ้งแถลงไข
หวังจะให้เจนจำได้ชำนาญ
ให้สูงศักดิ์สืบสมบัติพัสถาน
ขอประทานอภัยโทษได้โปรดเอยฯ
|
|
3.สุภาษิตเพลงยาวถวายโอวาท |
๏ควรมิควรจนจะพรากจากสถาน
จึงเขียนความตามใจอาลัยลาน
ด้วยขอบคุณทูลกระหม่อมถนอมรัก
เสด็จมาปราศรัยถึงในกุฎี
ทั้งการุณสุนทราคารวะ
ขอพึ่งบุญมุลิกาฝ่าละออง
ด้วยเดี๋ยวนี้มิได้รองละอองบาท
ต่อถึงพระวยาอื่นจักคืนมา
อย่ารู่โรคโศกเศร้าเหมือนเขาอื่น
มธุรสชดช้อยให้พลอยเพลิน
ไหนจะคิดพิศวงถึงองค์ใหญ่
มิเจียมตัวกลัวพระราชอาชญา
พาเที่ยวชมยมนามหาสมุทร
ต่อรอนรอนอ่อนอับพยับลง
แต่ครั้งนี้วิบากจากพระบาท
มิสูญลับดับจิตชีวิตยัง
แม้นไปทัพจับศึกก็นึกมาด
สู้อาสากว่าจะตายวายชีวี
ขอฉลองสองพระองค์ดำรงรักษ์
ให้ยืนเหมือนเดือนดวงพระสุริยัน
|
ขอประทานโทษาอย่าราคี
เหมือนผัดพักตร์ผิวหน้าเป็นราศี
ดังวารีรดซาบอาบละออง
ถวายพระวรองค์จำนงสนอง
พระหน่อสองสุริย์วงศ์ทรงศักดา
จะนิราศแรมไปไพรพฤกษา
พระยอดฟ้าสององค์จงเจริญ
พระยศยืนยอดมนุษย์สุดสรรเสริญ
จะต้องเหินห่างเหทุกเวลา
ทั้งอาลัยองค์น้อยละห้อยหา
จะใส่บ่าแบกวางข้างละองค์
เมืองมนุษย์นกไม้ไพรระหง
จึงจะส่งเสด็จให้เข้าในวัง
ใจจะขาดคิดหมายไม่วายหวัง
จะเวียนบังคมบาทไม่ขาดปี
จะรองบาทบงกชบทศรี
ด้วยภักดีได้จริงทุกสิ่งอัน
ช่วยฉัดชักชุบย้อมกระหม่อมฉัน
เป็นคืนวันเที่ยงธรรมไม่ลำเอียงฯ
|
๏
นิจจาเอ๋ยเคยรองละอองบาท
แสนละม่อมน้อมพระองค์ดำรงเรียง
จงอยู่ดีศรีสวัสดิ์พิพัฒน์ผล
ได้สืบวงศ์พงศ์มกุฏอยุธยา
เหมือนสององค์ทรงนามพระรามลักษณ์
ประจามิตรคิดร้ายวายชีวัน
จะไปจากสมเด็จพระเชษฐา
พระองค์น้อยคอยประณตนิ่งอดออม
อุตส่าห์เรียนเขียนอ่านบุราณราช
ลำดับศักดิ์จักพรรดิขัตติย์วงศ์
ด้วยพระองค์ทรงสยมบรมนาถ
กรมศักดิ์หลักชัยพระอัยการ
อนึ่งให้รู้สุภาษิตบัณฑิตพระร่วง
ราชาศัพท์รับสั่งให้บังควร
ทั้งพุทธไสยไตรดาทวายุค
พระยศศักดิ์จักเฉลิมให้เพิ่มพูน
แม้นออกวังตั้งใจจะไปอยู่
ขอพึ่งบุญพูนสวัสดิ์เหม์อนฉัตรธง
แต่ยามนี้มีกรรมจะจำจาก
เพราะพระเจ้าเยาว์นักต้องรักเร้น
ขอพระองค์จงเอ็นดูอย่ารู้ร้าง
อย่าหลงลิ้นหินชาติขาดอาลัย
ถึงร้อยปีมิได้มาก็อย่าแปลก
เช่นงางอกออกไปมิได้คืน
ของพระองค์ทรงยศเหมือนคชบาท
ระมัดโอษฐ์โปรดให้พระทัยจำ
|
โปรดประภาษไพเราะเสนาะเสียง
ดังเดือนเคียงแข่งคู่กับสุริยา
ให้พระชนม์ยั่งยืนหมื่นพรรษา
บำรุงราษฎร์ศาสนาถึงห้าพัน
เป็นปิ่นปักปกเกศทุกเขตขัณฑ์
เสวยชั้นฉัตรเฉลิมเป็นเจิมจอม
จงรักพระอนุชาอุตส่าห์ถนอม
ทูลกระหม่อมครอบครองกันสององค์
ไสยศาสตร์สงครามตามประสงค์
อุตส่าห์ทรงจดจำให้ชำนาญ
บังคับราชการสิ้นทุกถิ่นฐาน
มนเทียรบาลพระบัญญัติตัดสำนวน
โคลงเพชรพวงผิดชอบทรงสอบสวน
ทราบให้ถ้วนถี่ไว้จะได้ทูล
ให้ทราบทุกที่ถวิลบดินทร์สูร
ได้พึ่งทูลกระหม่อมของฉันสององค์
สำหรับปูเสื่อสาดคอยกวาดผง
ได้ดำรงร่มเกล้าทั้งเช้าเย็น
ด้วยแสนยากยังไม่มีที่จะเห็น
จึงจำเป็นจำพรากจำจากไป
ให้เหมือนอย่างเมรุมาศไม่หวาดไหว
น้ำพระทัยทูลเกล้าจงยาวยืน
ให้เหมือนแรกเริ่มตรัสไม่ขัดขืน
จึงจักยืนยืดยาวดังกล่าวคำ
อย่าให้พลาดพลั้งเท้าก้าวถลำ
จะเลิศล้ำลอยฟ้าสุราลัย ฯ
|
๏
หนึ่งนักปราชญ์ราชครูซึ่งรู้หลัก
อุตส่าห์ถามตามประสงค์จำนงใน
หนึ่งบรรดาข้าไทที่ใจซื่อ
หนึ่งคนมนต์ขลังช่างชำนาญ
เขาทำชอบปลอบให้นำใจชื่น
ปรารถนาสารพัดในปัฐพี
คำบุราณท่านว่าเหล็กแข็งกระด้าง
จงทราบไว้ใต้ละอองทั้งสององค์
แต่คนร้ายหลายลิ้นย่อมปลิ้นปลอก
อย่าพานพบคบค้าเป็นราคี
อันคนดีมีสัตย์สันทัดเที่ยง
เอาไว้ใช้ใกล้ชิดไม่คิดร้าย
อันโซ่ตรวนพรวนพันมันไม่อยู่
แม้นผูกใจไว้ด้วยปากไม่จากองค์
อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก
แม้นเจ็บอื่นหมื่นแสนจะแคลนคลาย
จะรักชังทั้งสิ้นเพราะลิ้นพลอด
อันช่างปากยากที่จะมีใคร
จงโอบอ้อมถ่อมถดพระยศศักดิ์
ครั้นต่ำนักมักจะผิดคิดรำพึง |
อย่าถือศักดิ์สนทนาอัชฌาสัย
จึงจักได้รู้รอบประกอบการ
จงนับถือถ่อมศักดิ์สมัครสมาน
แม้พบพานผูกไว้เป็นไมตรี
จึงเริงรื่นรักแรงไม่แหนงหนี
เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง
เอาเงินง้างอ่อนตามความประสงค์
อุตส่าห์ทรงสืบสร้างทางไมตรี
เลี้ยงมันหลอกหลอนเล่นเหมือนเช่นผี
เหมือนพาลีหลายหน้าระอาอาย
ช่วยชุบเลี้ยงชูเชิดให้เฉิดฉาย
เขารักตายด้วยได้ด้วยใจตรง
คงหนีสู้ซ่อนหมุนในฝุ่นผง
อุตส่าห์ทรงทราบแบบที่แยบคาย
แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย
เจ็บจนตายนั้นเพราะเหน็บให้เจ็บใจ
เป็นอย่างยอดแล้วพระองค์อย่าสงสัย
เขาชอบใช้ช่างมือออกอื้ออึง
ถ้าสูงนักแล้วก็เขาเข้าไม่ถึง
พอก้ำกึ่งกลางนั้นขยันนัก ฯ
|
๏ อันความคิดวิทยาเหมือนอาวุธ
สงวนคมสมนึกในฮึกฮัก
จับให้หมั้นคั้นหมายให้วายวอด
ตัดให้ขาดปรารถนาหาสิ่งใด
ธรรมดาว่ากษัตริย์อัติเรก
เสียงสังหารผลาญสัตว์ในปัฐพี
เหมือนหน่อเนื้อเชื้อวงศ์ที่องอาจ
ผู้ใหญ่น้อยพลอยมาสวามิภักดิ์
ถ้าคร้านเกียจเกียรติยศก็ถดถอย
ต้องเศร้าสร้อยน้อยหน้าทั้งตาปี
ด้วยไหนไหนก็มาสวามิภักดิ์
จึงทูลความตามจริงทุกสิ่งอัน |
ประเสริฐสุดซ่อนใส่เสียในฝัก
จึงค่อยชักเชือดฟันให้บรรลัย
ช่วยให้รอดรักให้ชิดพิสมัย
เพียรจงได้ดังประสงค์ที่ตรงตี
เป็นองค์เอกอำนาจดังราชสีห์
เหตุเพราะมีลมปากนั้นมากนัก
ย่อมเปรื่องปราดปรากฏเพราะยศศักดิ์
ได้พร้อมพรักทั้งปัญญาบารมี
ข้าไทพลอยแพลงพลิกออกหลีกหนี
ทูลดังนี้กลัวจะเป็นเหมือนเช่นนั้น
หมายจะรักพระไปกว่าจะอาสัญ
ล้วนสำคัญขออย่าให้ผู้ใดดูฯ
|
๏
พระผ่านเกล้าเจ้าฟ้าบรรดาศักดิ์
ซึ่งยศศักดิ์จักประกอบจำรอบรู้
อันเผ่าพงศ์วงศาสุรารักษ์
ที่สิ่งไรไม่ทราบได้กราบทูล
ประเพณีที่บำรุงกรุงกษัตริย์
ต่างพระทัยนัยน์เนตรสังเกตการ
จงพากเพียรเรียนไว้จะได้ทราบ
หนึ่งแข็งอ่อนผ่อนผันให้สันทัด
อนึ่งแยบยลกลความสงครามศึก
เร่งฝึกฝนกลการผลาญไพริน
อันข้าไทได้พึ่งเขาจึงรัก
เขาหน่ายหนีมิได้อยู่คู่ชีวา
|
แม้นไม่รักษายศจะอดสู
ได้เชิดชูช่วยเฉลิมให้เพิ่มพูน
สามิภักดิ์พึ่งปิ่นบดินทร์สูร
จึงเพิ่มพูนภาคหน้าปรีชาชาญ
ปฏิพัทธิ์ผ่อนผันความบรรหาร
ตามบุราณเรื่องราชานุวัตร
ทั้งกลอนกาพย์การกลปรนนิบัติ
ตามกษัตริย์สุริย์วงศ์ดำรงดิน
ย่อมเหลือลึกล้ำมหาชลาสินธุ์
ให้รู้สิ้นรู้ให้มั่นกันนินทา
แม้นถอยศักดิ์สิ้นอำนาจวาสนา
แต่วิชาช่วยกายจนวายปราณฯ
|
๏
ซึ่งเปรียบปรายหมายเหมือนเตือนพระบาท
แม้นหากฝ่าละอองไม่ต้องการ
ด้วยรักใคร่ได้มาเป็นข้าบาท
เป็นห่วงหลังหวังใจให้เจริญ
พระมีคุณอุ่นอกเมื่อตกยาก
จะจำไปไพรพนมด้วยตรมตรอม
พระองค์น้อยเนตรซ้ายไม่หมายร้าง
ความรักใคร่ไม่ลืมปลื้มวิญญาณ์
สามิภักดิ์รักใคร่จะไปเฝ้า
จะสั่งใครไปเล่าเขาก็ลวง
ครั้นหาของต้องประสงค์ส่งถวาย
ทุกค่ำเช้าเศร้าจิตคิดรำพึง
จะร่ำลักษณ์อักษรเป็นกลอนกาพย์
กตัญญูสู้อุตส่าห์พยายาม
ถึงลับหลังยังช่วยอวยสวัสดิ์
คอยถามข่าวชาววังฟังอาการ
พลอยยินดีปรีดาประสายาก
ไม่หายรักมักรำลึกนึกจำนง
จึงพากเพียรเขียนความตามสุภาพ
จะได้วางข้างพระแท่นแทนสุนทร
ซึ่งทูลเตือนเหมือนจะชูให้รู้รอบ
อย่าฟังฟ้องสองโสตจงโปรดปราน
ถึงแม้นมาตรขาดเด็ดไม่เมตตา
|
ให้เปรื่องปราดปรีชาศักดาหาญ
โปรดประทานโทษกรณ์ที่สอนเกิน
จะบำราศแรมร้างไม่ห่างเหิน
ใช่จะเชิญชวนชั่วให้มัวมอม
ถึงตัวจากแต่จิตสนิทสนอม
ทูลกระหม่อมเหมือนแก้วแววนัยนา
พระองค์กลางอยู่เกศเหมือนเนตรขวา
ได้พึ่งพาพบเห็นค่อยเย็นทรวง
พระทูลเกล้าก็ยังอยู่ที่วังหลวง
ต้องนิ่งง่วงเหงาอกตกตะลึง
ก็สูญหายเสียมิได้เข้าไปถึง
ด้วยลึกซึ้งสุดจิตจะติดตาม
ทูลให้ทราบสิ้นเสร็จก็เข็ดขาม
ไม่ลืมความรักใคร่อาลัยลาน
ให้สมบูรณ์พูนสวัสดิ์พัสถาน
ได้ทราบสารว่าเป็นสุขทุกพระองค์
เหมือนกาฝากฝ่าพระบาทดังราชหงส์
ไม่เห็นองค์เห็นแต่ฟ้าก็อาวรณ์
หวังให้ทราบเรื่องลักษณ์ในอักษร
ที่จากจรแต่ใจอาลัยลาน
ขอความชอบตราบกัลปาวสาน
ด้วยลมพาลพานพัดอยู่อัตรา
กรุณาแต่หนังสืออย่าถือความฯ
|
๏ อนึ่งคำนำถวายหมายว่าชอบ
อย่าเฉียวฉุนหุนหวนว่าลวนลาม
แม้นเห็นจริงสิ่งสวัสดิ์อย่าผัดเพี้ยน
ดูดินฟ้าหน้าหนาวหรือคราวร้อน
ซึ่งประโยชน์โพธิญาณเป็นการเนิ่น
ถือที่ข้ออรหัตวิปัสสนา
ข้างฝ่ายไสยไตรเพทวิเศษนัก
สืบตระกูลพูนสวัสดิ์ในปัฐพี
|
แม้นทรงสอบเสียวทราบว่าหยาบหยาม
เห็นแก่ความรักโปรดซึ่งโทษกรณ์
เร่งร่ำเรียนตามคำที่พร่ำสอน
เร่งผันผ่อนพากเพียรเรียนวิชา
พอจำเริญรู้ธรรมคำคาถา
เป็นวิชาฝ่ายพุทธ์นี้สุดดี
ให้ยศศักดิ์สูงสง่าเป็นราศี
ได้เป็นที่พึ่งพาเหล่าข้าไทฯ
|
๏
ซึ่งทูลความตามซื่ออย่าถือโทษ
ด้วยวันออกนอกพรรษาขอลาไป
เคยฉันของสองพระองค์ส่งถวาย
จะแลลับดับเหมือนดังเดือนดวง
ถึงมาเฝ้าเล่าที่ไหนจะได้เห็น
จะตั้งแต่แลลับอัประมาณ
ต่อโสกันต์วันพระองค์ทรงสิกขา
ให้ใช้สอยคอยเฝ้าทุกเช้าเย็น
ด้วยเหตุว่าฝ่าพระบาทได้ขาดเสร็จ
ทูลกระหม่อมยอมในพระทัยปลง
ในวันนั้นวันอังคารพยานอยู่
ขอละอองสองพระองค์จงทรงจำ
อย่างหม่อมฉันอันที่ดีแลชั่ว
เป็นอาลักษณ์นักเลงทำเพลงยาว
แผ่นดินหลังครั้งพระโกศก็โปรดเกศ
สิ้นแผ่นดินสิ้นบุญของสุนทร
หากสมเด็จเมตตาว่าข้าเก่า
ไม่ลืมคุณทูลกระหม่อมเหมือนจอมเจิม
เผื่อข้าไทไม่มีถึงที่ขัด
สองพระองค์จงอุตส่าห์พยายาม
รักษาพระยศอุตส่าห์รักษาสัตย์
เห็นห้วยหนองคลองน้อยอย่าลอยลง
สกุลกาสาธารณ์ถึงพานพบ
เหมือนชายโฉดโหดไร้ที่ไม่ควร
อันนักปราชญ์ราชครูเหมือนคูหา
จงสิงสู่อยู่แต่ห้องทองประจง
ขึ้นร่อนเร่เวหนให้คนเห็น
ได้ปรากฏยศยงตามวงศ์วาน
ควรมิควรส่วนผลาอานิสงส์
ให้สี่องค์ทรงมหาสถาวร
|
ถ้ากริ้วโกรธตรัสถามตามสงสัย
เหลืออาลัยทูลกระหม่อมให้ตรอมทรวง
มิได้วายเว้นหน้าท่านข้าหลวง
ที่แลล่วงลับฟ้าสุธาธาร
ด้วยว่าเป็นขอบเขตนิเวศน์สถาน
เห็นเนิ่นนานนึกน่าน้ำตากระเด็น
จะได้มานอบนบได้พบเห็น
มิให้เต้นโลดคะนองทั้งสององค์
โดยสมเด็จประทานตามความประสงค์
ถวายองค์อนุญาตเป็นขาดคำ
ปีฉลูเอกศกแรมห้าค่ำ
อย่าเชื่อคำคนอื่นไม่ยืนยาว
ถึงลับตัวก็แต่ชื่อเขาลือฉาว
เขมรลาวลือเลื่องถึงเมืองนคร
ฝากพระเชษฐานั้นให้ฉันสอน
ฟ้าอาภรณ์แปลกพักตร์อาลักษณ์เดิม
ประทานเจ้าครอกฟ้าบูชาเฉลิม
จะขอเพิ่มพูนพระยศให้งดงาม
กับหนูพัดหนูตาบจะหาบหาม
ประพฤติตามแต่พระบาทมาตุรงค์
พูนสวัสดิ์สังวาสตามราชหงส์
จะเสียทรงสีทองละอองนวล
อย่าควรคบคิดรักศักดิ์สงวน
อย่าชักชวนชิดใช้ให้ใกล้องค์
เป็นที่อาศัยสกุลประยูรหงส์
กว่าจะทรงปีกกล้าถาทะยาน
ว่าชาติเช่นหงสาศักดาหาญ
พระทรงสารศรีเศวตเกศกุญชร
ซึ่งรูปทรงสังวรรัตน์ประภัสสร
ถวายพรพันวสาขอลาเอยฯ
|
แนะนำที่พักที่น่าสนใจ
(2) |
เกาะมันนอกรีสอร์ท
|
โทร./โทรสาร 02-2119654สำรองที่พักกรุงเทพฯ บังกาโล 26
ห้อง
(แพคเกจ) 2 วัน 1 คืน 2,590 บาท ต่อคน ถ้า 3 วัน 2 คืน 4,990
บาทต่อคน ราคาแพคเกจ รวมค่าอาหาร ที่พัก
และประกันภัย (ถ้าจองที่นี่) รับประกันถูกที่สุด... |
พี.เอ็ม.วาย.บีชรีสอร์ท
|
147/394 ถ.เลียบชายฝั่ง ซอย 3 ต.เนินพระ กรุงเทพฯ โทร.
02-2119654 จำนวน 215 ห้อง ราคา 1,400-3,900 บาท |
Palmeraie
|
177 หมู่ 1 บ้านเพ ระยอง โทร
สำนักงานไทยทัวร์ 02-6733322 ราคา1690++-6030++บาท |
ปารดี รีสอร์ท
|
76 หมู่ 4 ตำบลเพ อำเภอเมือง แกลง ระยอง
เกาะเสม็ด ราคา
11,600
- 19,000 บาท
โทรสายด่วน 02- 2119654
(เจ้าของเดียวกับ เลอวิมาน) |
villa
bali resort
|
308 หมู่ 3 ถ.เมืองแกลง อ.แกลง โทร. 02 673 3322 ราคา
1,250-1,550 บาท |
นิมมานรดี
|
อ่าวปะการัง เกาะเสม็ด ต.เพ โทร. 01-4378565
โทร. (สนง ไทยทัวร์) 02-6733322,
02-2119654บังกะโล 11
หลัง ราคา 2,500- 5,000
บาท |
เลอวิมาน
|
40/11 หมู่ 4, ต.เพ, อ.เมือง จ.ระยอง 21160
โทร.02-2119654 ราคา 4,700-5,300 บาท |
มาลิบูการ์เด้นรีสอร์ท
|
77 หมู่ 4 ต.เพ โทร. 02 6733322(สนง ไทยทัวร์ กทม)
บังกะโล 24 หลัง ราคา 800-2,200 บาท มีสระว่ายน้ำ |
|
ประเภทบทละคร มีดังนี้
-
บทละคร อภัยนุราช
บทละคร อภัยนุราช
อภัยนุราช |
ท่านสุนทรภู่ได้แต่งบทละครเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น คือ
เรื่องอภัยนุราช เพื่อถวายพระองค์เจ้า ดวงประภา
พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเรื่องของท้าวอภัยนุราช กษัตริย์ครองเมืองรมเยศร
ครั้งหนึ่งทรงต้องการออกประพาสป่า
แต่ไม่ยอมเซ่นสังเวยแสดงความเคารพต่อผีป่าเสียก่อน
และได้กล่าวลบหลู่ดูถูก
ผีป่าจึงดลบันดาลให้ท้าวอภัยนุราชต้องเสียบ้านเสียเมือง
พร้อมทั้งพระนางทิพยมาลีพระมเหสี พระอนันต์พระโอรส
และวรรณาพระธิดา ดังที่จะคัดมาตอนหนึ่ง ดังต่อไปนี้ |
เหมือนเขาเปรียบเทียบความเมื่อยามรัก |
น้ำผักต้มขมก็ชมหวาน |
เมื่อจืดจางห่างเหินเนิ่นนาน |
น้ำตาลว่าเปรี้ยวไม่เหลียวดู |
|
|
ประเภทบทเสภา มีดังนี้
1. บทเสภา ขุนช้างขุนแผน ตอน
กำเนิดพลายงาม
2. บทเสภา
พระราชพงศาวดาร
1.บทเสภา ขุนช้างขุนแผน ตอน กำเนิดพลายงาม
|
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
โปรดเกล้าฯ
ให้ชำระเสภาขุนช้างขุนแผน
ได้ทรงประชุมกวีเอกสมัยนั้นช่วยกันแต่งคนละตอนสองตอน
สุนทรภู่ก็ได้รับมอบหมายให้ร่วมแต่งด้วย
และท่านคงต้องแต่งอย่างสุดฝีมือ
เพราะถือเป็นการประกวด
ประขันฝีปากกันอย่างเต็มความสามารถ
เรื่องขุนช้างขุนแผนนี้
ถือว่าเป็นเพชรเม็ดงามเม็ดหนึ่งของวรรณกรรมไทย
ด้วยอุดมไปด้วย
คุณค่าทางวรรณศิลป์อย่างครบถ้วน
ทั้งความประณีตบรรจงในการแต่ง
กระบวนกลอนเล่นสัมผัสอย่างไพเราะและมีเนื้อความดีตลอดเรื่อง
สอดแทรกแง่คิดเกี่ยวกับชีวิต
และสามารถสร้างอารมณ์สะเทือนใจแก่ผู้อ่านให้เห็นภาพและซาบซึ้งไปกับตัวละครได้อย่างดีเยี่ยม
เนื้อเรื่องตอนนี้เริ่มจากนางวันทองมาอยู่กับขุนช้าง
ส่วนขุนแผนถูกจำคุกอยู่ที่เมืองหลวง
ขณะนั้นนางวันทอง มีครรภ์
เมื่อครบสิบเดือน
จึงได้ให้กำเนิดบุตรชาย
นางให้ชื่อลูกว่า พลายงาม
พลายงามยิ่งโตก็ยิ่งงาม
หน้าตาละม้ายคล้ายพ่อ
คือขุนแผน
จนอายุได้เก้าขวบ
ขุนช้างรู้ว่าไม่ใช่ลูกของตน
จึงลวงไปทำร้าย
และเอาท่อนไม้ทับจะให้ตาย
ขุนช้างทิ้งพลายงามไว้ในป่า
แต่พรายของขุนแผนช่วยไว้ได้
ดูครึ้มครึกพฤกษาป่าสงัด
จังหรีดร้องก้องเสียงเคียงเรไร
ดุเหว่าร้องมองเมียงเสียงว่าแม่
อยู่นี่แน่แม่จ๋าจงมารับ |
ไม่แกว่งกวัดก้านกิ่งประวิงไหว
ทั้งลองไนเรื่อยแร่แวแววับ
ยืนชะแง้แลดูเงี่ยหูตรับ
วิ่งกระสับกระสนวนเวียนไป |
พรายของขุนแผนมากระซิบบอกนางวันทองให้ทราบเรื่องที่ขุนช้างจะฆ่าพลายงาม
นางจึงรีบออกไปตามหาลูก
|
ออกนอกรั้วตัวคนเดียวเที่ยวเดินไป
เห็นคุ่มคุ่มพุ่มไม้ใจจะขาด
เจ้าไปไหนไม่มาหาแม่เลย
ฤาล้มตายควายขวิดงูพิษขบ
ยิ่งเย็นย่ำค่ำคลุ้มชอุ่มมัว
เสียงซ้อแซ้แกกาผวาว่อน
จักจั่นเจื้อยร้องริมลองไน
ทั้งเป็ดผีปี่แก้วแว่วแว่วหวีด
นางวันทองมองหาละล้าละลัง
จะบนหมูสุราร่ำว่าครบ
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวแลชะแง้เงย
ตะโกนเรียกพลายงามทรามสวาท
สะอื้นโอ้โพล้เพล้เดินเอกา
เห็นฝูงนกกกบุตรยิ่งสุดเศร้า
ชะนีโหวยโหยหวนรัญจวนใจ
พอแว่วแว่วแจ้วเสียงสำเนียงเรียก
ตรงเซิงซุ้มคุ่มเคียงนางเมียงมอง
ความดีใจไปกอดเอาลูกแก้ว
เป็นไรไม่ไปเรือนเที่ยวเชือนแช |
โอ้อาลัยเหลียวแลชะแง้เงย
พ่อพลายงามทรามสวาทของแม่เอ๋ย
ที่โคกเคยวิ่งเล่นไม่เห็นตัว
ไฉนศพสาบสูญพ่อทูนหัว
ยิ่งเริ่มรัวเรียกร่ำระกำใจ
จิ้งจอกหอนโหยหาที่อาศัย
เสียงเรไรหริ่งหริ่งที่กิ่งรัง
เสียงจังหรีดกรีดแซ่ดังแตรสังข์
ฤาผีบังซ่อนเร้นไม่เห็นเลย
ขอให้พบลูกตัวทูนหัวเอ๋ย
โอ้ทรามเชยหลากแล้วพ่อแก้วตา
ใจจะขาดคนเดียวเที่ยวตามหา
สกุณานอนรังสะพรั่งไพร
โอ้ลูกเราไม่รู้ว่าอยู่ไหน
ยิ่งอาลัยแลหาน้ำตานอง
นึกสำเหนียกหลายหนขนสยอง
เห็นลูกร้องไห้สะอื้นยืนเหลียวแล
แม่มาแล้วอย่ากลัวทูนหัวแม่
แม่ตามแต่ตะวันบ่ายเห็นหายไป |
|
พลายงามร้องไห้เล่าให้แม่ฟังเรื่องที่ถูกขุนช้างทำร้าย
นางจึงบอกความจริงแก่ลูกว่า บิดาที่แท้จริงคือขุนแผน
ขณะนั้นถูกจำคุกอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา
ย่าของพลายงามชื่อนางทองประศรี อยู่ที่วัดเชิงหวายเมืองกาญจนบุรี
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ พลายงามคงอยู่บ้านกับมารดาต่อไปไม่ได้
วันทองตัดสินใจนำลูกไปฝากไว้ที่วัดก่อน |
อ้ายศัตรูรู้ความจะตามมา
แล้วพากันดั้นดัดไปวัดเขา
แล้วเล่าความตามจริงทุกสิ่งไป
เอาลูกอ่อนซ่อนไว้เสียในห้อง
ท่านขรัวครูผู้เฒ่าว่าเอาวะ |
แม่จะพาเจ้าไปฝากขรัวนาคไว้
เห็นสมภารคลานเข้าไปกราบไหว้
เจ้าคุณได้โปรดด้วยช่วยธุระ
เผื่อพวกพ้องเขามาหาอย่าให้ปะ
ไว้ธุระเถิดอย่ากลัวที่ผัวเลย |
นางวันทองพาพลายงามไปฝากไว้กับสมภารชื่อขรัวนาค คืนนั้นเป็นครั้งแรกที่พลายงามอยู่ห่างบ้าน
ทั้งใจยังหวั่นหวาดกับเรื่องร้ายที่เกิดขึ้น พลายงามนอนไม่ใคร่หลับตลอดคืน |
แล้วสมภารท่านก็หลับระงับเงียบ
เพราะแม่ลูกผูกจิตคิดถึงกัน
ดุเหว่าร้องซ้องเสียงสำเนียงแจ้ว
สะดุ้งในไหววับทั้งหลับตา
ครั้นรู้สึกนึกได้ให้ละห้อย
จนเคาะระฆังหงั่งเหง่งเสียงเครงครื้น |
ยิ่งเย็นเยียบเยือกใจเมื่อไก่ขัน
เฝ้าใฝ่ฝันเฟือนแลเห็นแม่มา
ให้แว่วแว่วว่าวันทองร้องเรียกหา
ร้องขานขาสุดเสียงแต่เที่ยงคืน
เจ้าพลายน้อยนิ่งนอนถอนสะอื้น
สมภารตื่นเตือนชีต้นสวมมนต์เกน |
|
วันรุ่งขึ้น
นางวันทองจัดของไปรับลูกที่วัด แล้วพาไปส่งที่ท่าเกวียน
ให้พลายงามเดินทางไปหาย่าทองประศรี ที่เมืองกาญจนบุรี
เพราะลำพังนางวันทองคงไม่สามารถคุ้มครองลูกจากขุนช้างได้
สองแม่ลูกอำลากันอย่างเศร้าสร้อย
|
เจ้าพลายงามความแสนสงสารแม่
แล้วกราบกรานมารดาด้วยอาลัย
แต่ครั้งนี้มีกรรมจะจำจาก
เที่ยวหาพ่อขอให้ปะเดชะบุญ
แม่รักลูกลูกก็รู้อยู่ว่ารัก
จะกินนอนวอนว่าเมตตาเตือน
แม่วันทองของลูกจงกลับบ้าน
จะก้มหน้าลาไปมิได้กลัว
นางกอดจูบลูบหลังแล้วสั่งสอน
พ่อไปดีศรีสวัสดิ์กำจัดภัย
ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ
แล้วพาลูกออกมาข้างท่าเกวียน
ลูกก็แลดูแม่แม่ดูลูก
สะอื้นร่ำอำลาด้วยอาลัย
เหลียวหลังยังเห็นแม่แลเขม้น
แต่เหลียวเหลียวเลี้ยวลับวับวิญญาณ์ |
ชำเลืองแลดูหน้าน้ำตาไหล
ลูกเติบใหญ่คงจะมาหาแม่คุณ
ต้องพลัดพรากแม่ไปเพราะไอ้ขุน
ไม่ลืมคุณมารดาจะมาเยือน
คนอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน
จะจากเรือนร้างแม่ไปแต่ตัว
เขาจะพาลว้าวุ่นแม่ทูนหัว
แม่อย่ามัวหมองนักจงหักใจ
อำนวยพรพลายน้อยละห้อยไห้
จนเติบใหญ่ยิ่งยวดได้บวชเรียน
เจ้าจงอตส่าห์ทำสม่ำเสมียน
จะจากเจียนใจขาดอนาถใจ
ต่างพันผูกเพียงว่าเลือดตาไหล
แล้วแข็งใจจากนางตามทางมา
แม่ก็เห็นลูกน้อยละห้อยหา
โอ้เปล่าตาต่างสะอื้นยืนตะลึง |
|
พลายงามเดินทางตามลำพัง แวะพักค้างคืนที่วัดต่างๆ
ระหว่างทาง จนมาถึงเมืองกาญจนบุรี ได้ขึ้นไป
ปีนต้นมะยมเล่น โดยมิได้รู้ว่ามาถึงบ้านย่าแล้ว
นางทองประศรีออกมาไล่ทุบตี จนเมื่อไต่ถามกันจึงรู้ว่าเป็นหลาน
นางทำพิธีสมโภชรับขวัญ แล้วพาไปหาขุนแผนที่กรุงศรีอยุธยา
พลายงามเล่าเรื่องขุนช้างให้พ่อฟัง ขุนแผนโกรธมาก
จะไปฆ่าขุนช้าง
แต่นางทองประศรีห้ามไว้ และเตือนสติต่างๆ นานา
ขุนแผนจึงค่อยสงบลง และฝากฝังลูกไว้กับย่า ให้ตั้งใจเรียนเขียนอ่าน
|
ลูกเห็นแต่แม่คุณค่อยอุ่นใจ
อันตำรับตำราสารพัด
ถ้าลืมหลงตรงไหนไขออกดู
แล้วลูบหลังสั่งความพลายงามน้อย
รู้สิ่งไรไม่สู้รู้วิชา |
ช่วยสอนให้พลายงามเรียนความรู้ลูกเก็บจัดแจงไว้ที่ในตู้
ทั้งของครูของพ่อต่อกันมา
เจ้าจงค่อยร่ำเรียนเขียนคาถา
ไปเบื้องหน้าเติบใหญ่จะให้คุณ |
|
นางทองประศรีจึงพาพลายงามกลับ พลายงามอาศัยอยู่กับนางทองประศรีที่กาญจนบุรี ได้ร่ำเรียนหนังสือ และคาถาอาคมจนแตกฉานไม่ด้อยกว่าขุนแผน
|
อันเรื่องราวกล่าวความพลายงามน้อย
ทั้งขอมไทยได้สิ้นก็ยินดี
ปัถมังตั้งตัวนะปัดตลอด
หัวใจกริดอิทธิเจเสน่ห์กล
เข้าในห้องลองวิชาประสาเด็ก
มหาทะมื่นยืนยงคงกระพัน
แล้วทำตัวหัวใจอิติปิโส
สะกดคนมนต์จังงังกำบังกาย
ทั้งเรียนธรรมกรรมฐานนิพพานสูตร
ผูกพยนต์หุ่นหญ้าเข้าราวี |
ค่อยเรียบร้อยเรียนรู้ครูทองประศรี
เรียนคัมภีร์พุทธเพทพระเวทมนต์
แล้วถอนถอดถูกต้องเป็นล่องหน
แล้วเล่ามนต์เสกขมิ้นกินน้ำมัน
แทงจนเหล็กแหลมลู่ยู่ขยั้น
ทั้งเลขยันต์ลากเหมือนไม่เคลื่อนคลาย
สะเดาะโซ่ตรวนได้ดังใจหมาย
เมฆฉายสูรย์จันทร์ขยันดี
ร้องเรียกภูตพรายปราบกำราบผี
ทองประศรีสอนหลานชำนาญมา |
|
จนเมื่อพลายงามอายุได้สิบสามปี
นางทองประศรีจึงได้จัดพิธีโกนจุกตามประเพณี |
ถึงวันดีนิมนต์ขรัวเกิดเฒ่า
พอพิณพาทย์คาดตระสะธุการ
นั่งสวดมนต์จนจบพอพลบค่ำ
|
อยู่วัดเขาชนไก่ใกล้กับบ้าน
ท่านสมภารพาสงฆ์สิบองค์มา
ก็ซัดน้ำมนต์สาดเสียงฉาดฉ่า
|
|
วันรุ่งขึ้น พลายงามก็เดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยา เมื่อขุนแผนได้พบพลายงามก็ดีใจ ซักไซ้ไต่ถามดูก็ทราบว่า
มารดาตนสั่งสอนพลายงามมาอย่างดี จึงนำไปฝากฝังกับจมื่นศรีเสาวรักษ์ราชให้ช่วยพาไปถวายตัว จมื่นศรีพิจารณา
พลายงามเห็นเป็นเด็กฉลาด จึงรับไว้ในบ้านเหมือนเป็นนักเรียนประจำ แนะนำสั่งสอนให้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมไว้อีก
ในระหว่างที่พักอยู่ที่บ้าน
|
ครานั้นจมื่นศรีเสาวรักษ์ราช
จะเป็นข้าจอมนรินทร์ปิ่นนคร
พระกำหนดกฎหมายมีหลายเล่ม
กรมศักดิ์หลักชัยพระอัยการ
แล้วให้รู้สุภาษิตบัณฑิตพระร่วง
ราชาศัพท์รับสั่งให้บังควร
ที่ไม่สู่รู้อะไรผู้ใหญ่เด็ก
เสียตระกูลสูญลับอัประมาณ
นี่ตัวเจ้าเหล่ากอทั้งพ่อแม่
แล้วจัดแจงห้องหับให้หลับนอน
|
เรียกพลายงามทรามสวาดิมาสั่งสอน
อย่านั่งนอนเปล่าเปล่าไม่เข้าการ
เก็บไว้เต็มตู้ใหญ่ไขออกอ่าน
มณเฑียรบาลพระบัญญัติตัดสำนวน
ตามกระทรวงผิดชอบคิดสอบสวน
รู้จงถ้วนถี่ไว้จึงได้การ
มหาดเล็กสามต่อพ่อลูกหลาน
เพราะเกียจคร้านคร่ำคร่าเหมือนพร้ามอญ
อย่าเชือนแชอุตส่าห์จำเอาคำสอน
ไม่อาวรณ์เธอช่วยเลี้ยงเป็นเที่ยงธรรม
|
|
นอกจากจะสอนวิชาความรู้แล้ว
จมื่นศรียังให้พลายงามตามหลังเข้าวัง
เพื่อศึกษาแนวทางและวิธีปฏิบัติตนด้วย |
...............
เธอเข้าเฝ้าเจ้าก็นั่งบังไม้ดัด
ค่อยรู้ก่อนผิดชอบรอบคอบไป
ครั้นอยู่บ้านอ่านคำพระธรรมศาสตร์ |
ทุกคืนวันตามหลังเข้าวังใน
คอยฟังตรัสตรึกตราอัชฌาสัย
ด้วยมิได้คบเพื่อนเที่ยวเชือนแช
ตำรับราชสงครามตามกระแส |
|
เมื่อจมื่นศรีฯ เห็นว่า พลายงามมีวิชาความรู้ครบถ้วนจบหลักสูตร กิริยามารยาทเป็นที่พอใจ สมควรเข้ารับราชการได้ ก็พาพลายงามถวายตัวต่อพระมหากษัตริย์
|
ฝ่ายจมื่นศรีเสาวรักษ์ราช
ขอเดชะพระกรุณาฝ่าละออง
บุตรขุนแผนแสนสท้านหลานทองประศรีจะขอรองมุลิกาพยายาม
ครานั้นสมเด็จพระพันวษา
จะออกโอษฐ์โปรดขุนแผนแสนสะท้านให้เคลิ้มพระองค์ทรงกลอนละครนอกลืมประภาษราชกิจที่คิดไว้ |
อภิวาทบาทมูลทูลฉลอง
ดอกไม้ธูปเทียนทองของพลายงาม
ความรู้มีเรียบราบไม่หยาบหยาม
พลางกราบสามทีสดับตรับโองการ
เหลือบเห็นหน้าพลายงามความสงสาร
แต่กรรมนั้นบันดาลดลพระทัย
นึกไม่ออกเวียนวงให้หลงใหล
กลับเข้าในแท่นที่ศรีไสยา |
|
ด้วยผลกรรมดลพระทัยสมเด็จพระพันวษา พลายงามจึงยังไม่ได้เข้ารับราชการในครั้งนี้
|
แนะนำที่พักที่น่าสนใจ (3) |
ระยองรีสอร์ท
|
186 หมู่ 1 ต.เพ กรุงเทพฯ โทร 02-6730966 จำนวน
167 ห้อง ราคา 3,933-12,000 บาท |
Bari Lamai
|
เพิ่งเปิด ปี 51
บูติครีสอร์ท ติดชายหาด
124/2 หมุ่.6 แหลมแม่พิมพ์
อ.แกลง
|
เสม็ดคลิฟ
|
100 หมู่ 4 ต.เพ อ.เมือง จ.ระยอง 21160 โทร. 02-2119654
บังกะโล 24 หลัง ราคา 1,500-2,500 บาท |
หมู่บ้านทะเล
|
1/8 หมู่ 4 ต.เพ โทร.02-6730966 บังกะโล มีสระว่ายน้ำ ราคา 3,500-5,000
บาท มีบริการเรือรับส่ง |
ทรายแก้วบีช
|
หมู่ 4 ต.เพ โทร. 02-6730966 จำนวน 38 ห้อง ราคา
2900-7600 บาท |
ทรายแก้ววิลล่า
|
59 หมู่ 4 ตำบลเพ โทร.02-6733322, 02-6730966 จำนวน 100
ห้อง ราคา 700-4,900 บาท |
หินสวยน้ำใส
รีสอร์ท
|
250 หมู่ 2 ต.ซากพง อ.แกลง กรุงเทพฯ โทร.
02-2119654 จำนวน 62 ห้อง ราคา 2,590-14,214 บาท |
เสม็ดคลับ รีสอร์ท
|
25 หมู่ 4 ต.เพ อ.เมือง เกาะเสม็ด
ระยอง 21160 ราคา 2,000 - 3,300 บาท รวมอาหารเช้า 2 ท่าน
และค่าเรือไป-กลับ, กิจกรรม อาทิ, พายเรือคยัค, สระว่ายน้ำ
สำรองห้องพัก โทร. 02-2119654, 02-6733322, 02-6730966. |
|
2.บทเสภา พระราชพงศาวดาร |
พระราชพงศาวดาร |
แบ่งออกเป็น ๒ ตอน ได้แก่ ตอนที่ ๑ มีความยาว ๒๗๔ คำกลอน
เริ่มตั้งแต่พระเจ้าอู่ทองทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
จนถึงเกิดความขัดแยังขึ้นระหว่างไทยและขนอม
และไทยสามารถตีขอมจนแตกพ่ายไป ตอนที่ ๒ มีความยาว ๙๗๐ คำกลอน
เริ่มตั้งแต่สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ช้างเผือก ๗ เผือก
ทำให้พระเกียรติเป็นที่เลื่องลือโดยทั่วไป
กษัตริย์หงสาวดีต้องการจึงส่งสารมาขอช้างเผือก ๗ เชือก
ถ้าไม่ให้จะยกทัพมา แต่มุขมนตรีมีความเห็นว่าไม่ควรให้
พระเจ้าหงสาวดีจึงสั่งเกณฑ์ไพร่พลเพื่อยกทัพมาตีไทย
อันเป็นสาเหตุของสงครามไทยกับพม่า จนกระทั่งเสียกรุงครั้งที่ ๑
เป็นเรื่องดังที่จะคัดมาตอนหนึ่ง
ที่เป็นการต่อสู้ระหว่างทหารไทย และทหารมอญ ดังต่อไปนี้ |
|
พวกชาวกรุงมุ่งแม้นพุ่งแหลนหลาว |
ถูกมอญลาวเลือดโซมชะโลมไหล |
ที่เหลือตายนายมอญต้อนเข้าไป |
พาดกระไดก้าวปีนตีนกำแพง |
พวกที่ป้อมหลอมตะกั่วคั่วทรายสาด |
คบไฟฟาดรามัญกันด้วยแผง |
โยนสายโซ่โย้เหนี่ยวด้วยเรี่ยวแรง |
ชาวเมืองแทงถูกตกหกคะเมน |
พม่ามอญต้อนคนขึ้นบนฝั่ง |
ถือแตะบังตัวบ้างป้องกางเขน |
ถูกปืนใหญ่ไพร่นายตานระเนน |
ในเมืองเกณฑ์กองหลวงทะลวงฟัน |
เสียงดาบฟาดฉาดฉับบ้างรับรบ |
บ้างหลีกหลบไล่ฆ่าให้อาสัญ |
เหลือกำลังทั้งพม่าลาวรามัญ |
ต่างขยั้นย่นแยกแตกตื่นแดนฯ |
|
นอกจากท่านสุนทรภู่จะแต่งนิราศและนิทานไว้มากมายแล้ว ยังปรากฏว่าท่านได้แต่งบทประพันธ์อื่นๆ ไว้อีก ได้แก่ สุภาษิตต่างๆ บทละคร บทเสภา และบทเห่กล่อม
สวัสดิรักษาคำกลอน น่าจะแต่งขึ้นในช่วงที่ท่านรับราชการเป็นขุนสุนทรโวหาร เพื่อถวายแก่เจ้าฟ้า อาภรณ์ ส่วนเพลงยาวถวายโอวาท แต่งขึ้นถวายเจ้าฟ้ากลางและเจ้าฟ้าปิ๋ว ในราว พ.ศ. ๒๓๗๑ - ๒๓๗๒
เรื่องอภัยนุราช เป็นบทละครเพียงเรื่องเดียวของท่าน ประพันธ์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ เพื่อถวายพระองค์เจ้าดวงประภา พระธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ปัจจุบันนี้หาอ่านได้ยากยิ่งนัก ด้วยไม่ได้พิมพ์เผยแพร่มานาน
สำหรับบทเห่กล่อมพระบรรทม อาจารย์ปราณี บุญชุ่ม และอาจารย์มณฑนา วัฒนถนอม ได้กล่าวถึงบทเห่กล่อมไว้อย่างน่าฟัง ในหนังสือ "อนุสรณ์สุนทรภู่ ๒๐๐ ปี" จนผู้จัดทำไม่บังอาจจะเขียนขึ้นใหม่ จึงขออนุญาตนำบทความที่กล่าวถึงนี้ มาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้
"บทเห่กล่อมโดยทั่วไปแต่งขึ้นเพื่อร้องขับกล่อมให้เด็กหลับ แม้ว่าเด็กจะเยาว์วัย ยังไม่สามารถเข้าใจความหมายของเนื้อเพลงก็ตาม แต่เด็กก็เข้าใจความรู้สึกของผู้เห่กล่อมว่ารักใคร่และเอ็นดูตน เด็กจะเกิดความอบอุ่นใจและหลับไปอย่างมีความสุข
บทเห่กล่อมของสามัญชน จะแต่งตามความรู้สึก ความคิด หรืออื่นๆ ตามแต่ผู้เห่กล่อมจะนึกอะไรได้ก็ร้องเป็นทำนอง อาจมีเนื้อร้องในทำนองปลอบขวัญ ให้ความอบอุ่น หรือบางทีก็มีขู่ให้กลัวบ้างก็มี มีการจดจำบทร้องเห่กล่อมกันต่อๆ มา
สำหรับบทเห่กล่อมพระบรรทมสำหรับเจ้านายก็เช่นเดียวกัน กวีนำเอาเนื้อความจากเรื่องในวรรณคดีบ้าง เรื่องราว ตำนานต่างๆ บ้าง มาผูกเป็นเนื้อร้อง โดยใช้คำประพันธ์ประเภทกาพย์ กลอน เพื่อไว้เห่กล่อมพระราชโอรส ธิดา ของพระมหากษัตริย์ หรือเจ้านายชั้นสูง เนื้อร้องบทเห่กล่อมไม่กำหนดเรื่องราวเป็นแบบแผน แต่จะมีเนื้อหาสะท้อนให้เห็นสิ่งต่างๆ ที่เป็นวัฒนธรรมหรือสิ่งแวดล้อม ตามสภาพท้องถิ่นนั้น"
บทเห่กล่อมเหล่านี้ เชื่อว่าสุนทรภู่แต่งถวายสำหรับขับกล่อมหม่อมเจ้าในพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ กับพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และเมื่อสุนทรภู่ถึงแก่กรรมแล้ว บทเห่กล่อมนี้ได้ใช้กล่อมบรรทมพระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตลอดรัชกาลที่ ๔ ด้วย
ประเภทบทเห่กล่อม
มีดังนี้
1.บทเห่กล่อม เรื่องพระอภัยมณี
2.บทเห่กล่อม เรื่องนางกากี
3.บทเห่กล่อม เรื่องโคบุตร
4.บทเห่กล่อม เรื่องจับระบำ
|
1.บทเห่กล่อมเรื่องพระอภัยมณี
บทเห่กล่อมเรื่องพระอภัยมณี มีทั้งสิ้น ๘ ช่วง แต่ละช่วงนำมาจากเรื่องราวบางตอนของเนื้อเรื่อง ได้แก่ |
|
ช่วงที่
๑
|
เห่เอยเห่ละห้อย
แรมสำนักตำหนักจันทน์
ให้อาดูรพูนเทวศ
ได้เห็นพักตร์ลักขณา
ชมแท่นทองที่รองทรง
หอมหวนยวนยี
เผยพระแกลแลกระจ่าง
ทรงกลดรจนา
อนาถหนาวเศร้าสร้อย
นึกเห็นเมื่อเล่นสวน
เนตรขนงวงวิลาศ
พระกรรณแก้วแววตา
สองกรก็อ่อนชด
ปรางประพระสุคนธ์
ทรวดทรงพระองค์อ่อน
โกมุทบุษบัน
โอฐสะอาดดังชาดจิ้ม
เมื่อเนตรน้องมาต้องตา
แสนรักสลักอก
จะใคร่อุ้มพุ่มพวง
ผิวเหลืองระเรืองรอง
แม้นสมรักจะลักพา
ดูเนื้อน่วมอยู่นุ่มนิ่ม
แม้นลมดีจะคลี่ใบ
จะปลอบประโลมโฉมฉาย
แย้มสรวลยวนยี
มีต่างต่างกลางทะเล
ฝูงกระโห้ทั้งโลมา
กุ้งกั้งแลมังกร
นาคราชผาดผัน
วาฬใหญ่ขึ้นไล่คู่
เงือกงูดูคะนอง
กริวกราวก็เต้าตาม
คลาเคล้าสำเภาจร
เกาะใหญ่ไม้ชะอุ่ม
เหมือนจอกน้อยลอยเรียง
นิ่งนึกจนดึกดื่น
เคลิ้มระงับหลับไป
|
พราหมณ์น้อยศรีสุวรรณ
พระสุริยันสนธยา
ถึงแก้วเกษรา
ยังติดตาทุกนาฑี
ของอนงค์องค์บุตรี
อยู่ในที่ไสยา
เห็นเดือนสว่างในเวหา
เหมือนนวลหน้าพระน้องนวล
ให้ละห้อยโหยหวน
เลิศล้วนลักขณา
พิศเพียงบาดนัยนา
ดังกลีบผกาโกมล
ดังงอนรถพระสุริยน
พิศเพียงผลลูกจันทน์
ดังอัปสรสาวสวรรค์
ไม่เทียมถันประทุมา
เมื่อยามยิ้มดังเลขา
ดังสายฟ้ามาฟาดทรวง
ยิ่งกว่ายกภูเขาหลวง
มาแนบทรวงไสยา
เหมือนเนื้อทองธรรมดา
ลงเภตรากางใบ
จะชมชิมให้อิ่มใจ
แล่นไปในนที
ขึ้นนั่งบนท้ายบาหลี
จะชวนชี้ให้ชมปลา
ทั้งจรเข้เหรา
เคลื่อนคลาอยู่ตามกัน
สลับสลอนหลายพรรณ
ปลาอำพันตะเพียนทอง
ผุดฟู่พ่นฟอง
ลอยล่องชโลธร
ฉนากฉลามสลับสลอน
ในสาครรายเรียง
เป็นพุ่มพุ่มเคียงเคียง
พิศเพียงจะเพลินใจ
ถอนสะอื้นอาลัย
อยู่ในห้องไสยา เอยฯ |
|
ช่วงที่
๒
|
เห่เอยเห่กล่าว
องค์สุวรรณมาลี
กับสินสมุทรสุดสวาท
อยู่เขารุ้งปลายทุ่งนา
แบ่งส่วนกุศลผลบุญ
สาวสุรางค์นางชี
ตัดรักชักประคำ
เงียบสงัดวัดวา
ชนีน้อยห้อยโหย
จิ้งจอกออกหอน
เริงร้องซ้องแซ่
น่าดูเป็นคู่เคียง
แม่นกกกกอด
แจ้วแจ้วแก้วกะลิง
นั่งชมโสมนัส
พลบค่ำย่ำฆ้อง
หอมดอกไม้ใกล้กุฏิ
ยี่หุบบุบณา
เย็นยะเยียบเงียบสงัด
หึ่งหึ่งผึ้งภมร
นิ่งระงับหลับตา
ถึงหอมระรื่นไม่ชื่นชม
|
ถึงพระดาวบศนี
บวชด้วยมีศรัทธา
อรุณราชนัดดา
ออกนั่งหน้ากุฎี
ให้องค์อรุณรัศมี
แต่ล้วนมีศรัทธา
พึมพำภาวนา
พระสุริยาเย็นรอนรอน
วิเวกโหวยวิงวอน
นกนอนรังเรียง
คลอแคลกรีดเสียง
แอ่นเอี้ยงแอบอิง
ลูกพลอดวอนวิง
จับที่กิ่งไทรทอง
กับหน่อกษัตริย์ทั้งสอง
เดือนส่องสว่างตา
สาวหยุดมะลิลา
แย้มผกากลิ่นขจร
พระพายพัดมาอ่อนอ่อน
เชยเกสรสุมาลี
อุตส่าห์รักษาอารมณ์
ตามเพศพรหมจรรย์ เอยฯ |
|
ช่วงที่ ๓ |
เห่เอยพระราชบุตร
กับอรุณรัศมี
แย้มสรวลชวนกัน
พูดเล่นเจรจา
แขไขไตรตรัส
ร่อนเร่ในเมฆี
ถ้าเช่นนี้พี่เหาะได้
ค่อยสอดกรช้อนตระกอง
เย็นชื่นดื่นดึก
ชวนพระน้องร้องสักรวา
โอ้ว่าเจ้าการะเกด
น้องห้ามไว้ก็ไม่ฟัง
รู้สึกตัวกลัวกรรม
เดือนส่องต้องศิลา
ด้วยเขารุ้งรุ่งเรือง
แวมสว่างพร่างพราว
พร่างพร่างน้ำค้างเหยาะ
ดาวก็เคลื่อนเดือนก็คล้อย
เย็นยะเยียบเงียบสงัด
พระเพลินจิตไม่นิทรา
เดือนส่องผ่องเพียง
หลับสนิทจะพิศไหน
นวลหน้าเหมือนการะเกด
ถึงนางสวรรค์ชั้นฟ้า
ชายใดแม้นได้นุช
ยิ้มเยื้อนเหมือนจะชวน
พิศเพ่งเล็งดูเดือน
ฟ้าขาวดาวประกาย
เสียงดุเหว่าเร่าร้อง
ไก่กระชั้นขันขาน
เหมหงส์บุหรงร้อง
กลระฆังก็ดังเอง
ลมว่าวหนาวชื้น
งีบระงับหลับไหล |
สินสมุทมุนี
นั่งอยู่ที่หน้าชาลา
นั่งฉันน้ำชา
กับน้องยานารี
เรืองจรัสรัศมี
มาตรงที่แกลทอง
จะเหาะไปประคอง
มาไว้ในห้องไสยา
ลืมรำลึกภาวนา
จนหลงว่าขึ้นดังดัง
ขี่ม้าเทศจะไปท้ายวัง
จะแทงฝรั่งลังกา
ชักประคำภาวนา
ดังจินดาดวงดาว
บ้างเขียวเหลืองแวววาว
อร่ามราวเพชรพลอย
เผาะเผาะผอยผอย
จะเลื่อนลอยลับตา
พระพายพัดรำเพยพา
แต่น้องยานั้นหลับไป
จะแข่งเคียงแขไข
งามวิไลลักขณา
ดังดวงเนตรของเชษฐา
ไม่โสภาเทียมนวล
จะรักสุดแสนสงวน
ให้รัญจวนใจชาย
ละม้ายเหมือนกับเดือนหงาย
พฤกษาพรายโพยมมาล
เสนาะก้องกังวาน
วิเวกหวานวังเวง
ดังพาทย์ฆ้องประโคมเพลง
เสียงเหง่งเหง่งวังเวงใจ
หอมระรื่นหฤทัย
ในที่ไสยา เอยฯ |
|
ช่วงที่ ๔
|
เห่เอยหน่อกษัตริย์
บวชเล่นเล่นก็เป็นชี
แอบชะอ้อนนอนเพลา
พรหมจรรย์จรรยา
พระเจ้าลุงพรุ่งนี้
หลวงป้าไม่ว่าไร
ถามเท่าไรก็ไม่ตรัส
กลัวป้าอุตส่าห์ทำ
ลืมมนต์เสียหมดสิ้น
รสสุคนธ์มณฑา
รื่นรื่นชื่นแช่ม
ให้หวิวหวิวหิวโหย
ประหลาดเหลือเมื่อไร
เสียงหริ่งหริ่งที่กิ่งรัง
จักรจั่นสนั่นเสนาะ
กระดึงดังหงั่งเหง่ง
ครั้นเย็นย่ำน้ำค้าง
ลมเชยรำเพยพา
|
นางอรุณรัศมี
กับฤๅษีพี่ยา
ว่าพระเจ้าป้าจ๋า
เขาแปลว่าอันใด
จะมานีมนต์ไป
หรือจะไปตามคำ
สมาบัติบริกรรม
ชักประคำภาวนา
ด้วยหอมกลิ่นบุปผา
มะลิลาลมโชย
กลิ่นนางแย้มยมโดย
ร่วงโรยกำลัง
จะได้เข้าไปในวัง
ฟังฟังยิ่งวังเวง
ดังบัณเฑาะว์ดีดเพลง
ให้วังเวงวิญญา
พร้อยพร่างพฤกษา
ชื่นวิญญาเย็น เอยฯ |
|
ช่วงที่ ๕
|
เห่เอยเห่กล่าว
โฉมลเวงวัณฬา
เลี้ยวหลงวงเดิน
แลเหลียวเปลี่ยวใจ
เห็นแต่สัตว์จัตุบาท
เสือสิงห์วิ่งทะยาน
นางหลีกลัดดัดเดิน
ให้หิวโหยโรยกำลัง
แลดูพระสุริย์ฉาย
สุดสังเกตเขตแขวง
แลขวาเป็นป่าชัฏ
ล้วนป่าสูงยูงยาง
เป็นโกรกกรวยห้วยธาร
ฝูงปักษาเที่ยวหากิน
แจ้วแจ้วแก้วพลอด
กระลุมภูเป็นคู่เคียง
ฝูงอิลุ้มคุ่มขาบ
นกออกเอี้ยงเคียงคับแค
โพรโดกนั้นโอกเสียง
กินปลีเปล้าเขาไฟ
ไก่ฟ้าพระยาลอ
นกอุลอคลอเคียง
ฝูงยางกรอกดอกบัว
เบญจวรรณขันขาน
คุลาโห่โกกิล
เรียงจับสลับสลอน
บ้างเวียนวิ่งบนกิ่งไม้
ชมเพลินเดินพลาง
บาระบูนขุนแผน
ตัวเขียวเหยี่ยวตะไกร
ที่เงื้อมเงาเขาสูง
ปีกเจ้าอ่อนร่อนลง
นกยูงเป็นฝูงฟ้อน
กรีดกรายชะม้ายเมียง
สาลิกาสุวาที
เหมือนนกเลี้ยงในเวียงวัง
โอ้อกระหกระเหิน
ม้าเลี้ยวหลงวงวน
ป่าระหงดงดึก
หอมระรื่นชื่นฤทัย
แก้วกุหลาบอังกาบแกม
สร้อยฟ้าน่าชม
บ้างบานตูมเป็นพุ่มพวง
ทั้งพระพายชายไชย
ทั้งรวยรินอินจันทน์
เพลินพระทัยไคลคลา
ครั้นถึงธารสะอ้านสะอาด
จิ้งจอกออกเห่าหอน
เสียงชะนีวิเวกโหวย
วังเวงน่าเกรงกลัว
เห็นที่แท่นแผ่นผา
ลงจากม้าคลาไคล
ด้วยล้าเลื่อยเหนื่อยนัก
แล้วทรงเปลื้องสะไบกรอง
ค่อยเอนองค์ลงบนอาสน์
ให้หิวโหยโรยรา
เสียงจังกรีดกริ่ง
เคลิ้มระงับหลับไป
|
ถึงลูกสาวเจ้าลังกา
ทรงอาชามากลางไพร
พนมเนินพนาลัย
วิเวกในดงตาล
มฤคราชแรดฟาน
เสียงสะท้านสะเทือนดัง
แนวเนินพนมวัง
จนม้าที่นั่งก็อ่อนแรง
ก็เบี่ยงบ่ายชายแสง
ไม่รู้แห่งหนทาง
ข้างซ้ายขัดภูเขาขวาง
ไปตามหว่างศีขรินทร์
หุบละหานเหวหิน
บ้างโผบินร่อนเรียง
ฉอดฉอดฉ่ำเสียง
เค้าโมงเมียงมองแล
กระจิบกระจาบจอแจ
เสียงซ้อแซ้สนั่นไพร
เสนาะสำเนียงนกตะไน
จับกิ่งไม้มองเมียง
ขันจ้อแจ้วเสียง
กะเรียนเรียงรังนาน
กระเต็นกระตั้วหัวขวาน
บ้างบินผ่านโผจร
นกขมิ้นเหลืองอ่อน
นางนวลนอนแนบนาง
บ้างซุกไซ้ปีกหาง
วิเวกวางเวงใจ
กระเวนกระแวนระวังไพร
ไล่ลูกไก่เวียนวง
แต่ล้วนฝูงเหมหงส์
ประสานส่งสำเนียง
เหมือนละครรำเรียง
ประสานเสียงสนั่นดัง
นกโนรีเรียงรัง
พระเนตรหลั่งหล่อชล
เคราะห์เผอิญอับจน
ไม่เห็นหนทางไป
สะพรั่งพฤกษาไสว
ดอกไม้ไพรพนม
นางเด็ดแซมมวยผม
ทั้งสุกรมยมโดย
บ้างหล่นร่วงกลีบโรย
เกสรโปรยปรายมา
กะลำพันกฤษณา
จนสุริยาเย็นรอนรอน
เขาอังกาศสิงขร
ในดงดอนดูมืดมัว
ละห้อยโหยหาผัว
แลเห็นตัวอยู่ไรไร
ที่ไสยาอาศัย
เข้านั่งใต้ไทรทอง
พระวรพักตร์หม่นหมอง
นางปูรองกายา
พระเศียรพาดแผ่นผา
นิ่งนิทราตรอมใจ
หริ่งหริ่งเรไร
ใต้ต้นไทรทอง เอยฯ |
|
ช่วงที่
๖ |
เห่เอยเห่บท
พระอภัยมณี
บุษบกกระจกกระจ่าง
คลุมประทมห่มองค์
แม่ยอดหญิงพริ้งเพริศ
จะสะกิดก็ติดฝา
ยืนยิ้มอยู่ริมรถ
หรือระงับหลับไหล
นิ่งนึกเห็นดึกนัก
คิดจะใคร่ไถ่ถาม
ยามประชวรกวนจิต
จึงถอยหลังรั้งรา
พระถามธิดาสุลาลี
เขาบอกว่าหลับก็กลับไป
ผลักผลักสลักติด
เสียงจังหรีดกระกรีดร้อง
เกาะเกาะพระเคาะแกล
พี่มาแล้วนะแก้วตา
เย็นยะเยียบเงียบสำเนียง
เสน่หาอาลัย
กลับมานั่งบังกาย
พร่างพร่างกลางดง
พอเดือนเที่ยงเสียงผึ้ง
ทุกเงื้อมเขาเหงางึม
พี่อุตส่าห์มาด้วย
หรือน้องแก้วแววตา
ไม่ขออยู่จะสู้ม้วย
กอดพระกรถอนฤทัย
เย็นยะเยียบเงียบสงัด
รวยรินกลิ่นขจร
ลั่นทมนมสวรรค์
สร้อยฟ้าสารภี
ทั้งยมโดยโรยริน
เหมือนกลิ่นเนื้อเจือจันทน์
ไฉนดีเจ้าพี่เอ๋ย
อุตส่าห์ตามทรามวัย
เพราะฝาติดอยู่นิดเดียว
เขม้นมองที่ช่องฝา
|
เดินรถในราตรี
นั่งที่ท้ายรถทรง
เห็นรางรางรูปทรง
เห็นแต่วงพักตรา
วิลาศเลิศลักขณา
สุดปัญญาสุดอาลัย
รื้อระทดหฤทัย
ทำกระไรจะรู้ความ
เวลาก็สักสองยาม
ให้ขามขามในวิญญา
จะเคืองคิดโกรธา
เลียบไปหน้ารถชัย
พระชนนีเป็นไฉน
ขึ้นยืนอยู่ใกล้แกลทอง
ก็คิดคิดเขม้นมอง
นึกว่าน้องจำนรรจา
เป็นไรนะแม่วัณฬา
จะรับรักษาทรามวัย
ได้ยินแต่เสียงเรไร
มิได้ใกล้เคียงองค์
อยู่ที่ท้ายรถทรง
ต้นรังรงร่มครึม
หึ่งหึ่งระหึม
ให้เศร้าซึมโศกา
ก็มิได้ช่วยรักษา
สวรรคาลัยไป
จะตายด้วยแม่ดวงใจ
วิเวกในดงดอน
พระพายพัดมาอ่อนอ่อน
หอมเกสรสุมาลี
ทั้งอินจันทน์จำปี
มลุลีหลายพรรณ
ระรื่นกลิ่นมลิวัลย์
สะอื้นอั้นอาลัย
จะได้เชยให้ชื่นใจ
มาจนใกล้กัลยา
ให้เสียวเสียวเสน่หา
จะใคร่เห็นหน้าพระน้อง เอยฯ
|
|
เห่เอยเห่เพลง
ทำหลับไหลไสยา
แลเห็นองค์พระอภัย
ทำความเพียรเวียนวง
ช่างซื่อสุดบุรุษใด
ช่างง่วงเหงาเฝ้าละเมอ
เห็นประจักษ์ว่ารักจริง
มิตอบถ้อยจะน้อยใจ
ทั้งรักแค้นแสนเสียดาย
ทำประชวรครวญคราง
ถึงไหนแล้วนะแก้วตา
เข้าป่าสาลวัน
เจ้าแม่เอ๋ยเคยนั่ง
ให้กลุ้มกลัดในหทัย
ลมว่าวก็เฝ้าพัด
กลางไพรใครเลย
ทั้งน้ำค้างก็ช่างสาด
ถึงสุวรรณบรรจถรณ์
ชะกระไรพระจันทร์
ฤๅลับเงาภูเขาหลวง
แลก็ไม่เห็นหน
ดอกไม้ก็ไม่เบิกบาน
เจ้าประดิษฐ์คิดขับ
จะได้ระงับหลับไหล
|
โฉมลเวงวัณฬา
จนล่วงมากลางดง
เที่ยวเลียบไต่รถทรง
คิดก็สงสารเธอ
ไม่มีใครจะเสมอ
ช่างไม่เก้อแก่ใจ
สู้ทอดทิ้งทัพชัย
ครั้นพูดไปจะเป็นทาง
สะอื้นอายอางขนาง
จึงถามนางลาลีวัน
แม่หลับมาแต่สายัณห์
จักรจั่นจับใจ
จะลุกยังไม่ไหว
เจ็บไข้ก็ไม่เคย
หนาวสาหัสแล้วลูกเอ๋ย
จะให้เขนยหนุนนอน
ใจจะขาดลงรอนรอน
จะได้นอนให้อุ่นทรวง
ช่างดัดดั้นไปลับดวง
ไม่โชติช่วงชัชวาลย์
ช่างมืดมนอนธการ
จะได้สำราญฤทัย
ให้เพราะจับจิตใจ
ให้สร่างในทรวง เอยฯ |
|
ช่วงที่
๘ |
เห่เอยธิดา
รับสั่งบังคมคัล
แกล้งประดิษฐ์คิดคำ
โอ้ยามค่ำย่ำฆ้อง
จะแลชมพนมพนัส
ช่างมืดมิดทุกทิศา
โอ้ว่าพระศศิธร
แจ่มกระจ่างสว่างวง
เห็นพักตราหล้าโลก
โหยหวนนวลละออง
ภุมรินบินค้อยค้อย
มืดในก็จนใจ
โอ้เอ็นดูแมงภู่น้อย
ด้วยกลีบหุ้มพุ่มพวง
ขอเทวัญในชั้นฟ้า
ช่วยโปรยปรายสายฝน
ลมโชยระโรยกลิ่น
มณฑาผกากาญจน์
หอมประดู่อยู่ใกล้ใกล้
น้ำค้างพร่างสาดกระเซ็น
หนาวลมจะห่มผ้า
หนาวทรวงนะดวงใจ
ถึงเสื้อสวมนวมหุ้ม
หอมดอกไม้ที่ในดง
แป้งสดรสรื่น
เห็นอื่นอื่นไม่ชื่นตา |
โฉมสุลาลีวัน
ขึ้นนั่งบนชั้นเกรินทอง
ขับลำนำทำนอง
ให้มัวหมองในวิญญา
ไม่ถนัดนัยนา
มืดทั้งฟ้าดินดง
ช่างลอยร่อนรถทรง
ส่องที่ตรงแกลทอง
จะส่างโศกเศร้าหมอง
มณฑาทองที่ต้องใจ
มาเชยสร้อยสุมาลัย
เที่ยวเลียบไต่ตอมดวง
ให้เศร้าสร้อยโศกทรวง
ไม่โรยร่วงรสสุคนธ์
ทั้งเทวดาเดินหน
ให้อุบลแบ่งบาน
หอมกระถินพิมาน
มาซาบซ่านทรวงเย็น
แลก็ไม่ใคร่เห็น
ยะเยือกเย็นพะยอมไพร
หนาวน้ำฟ้าจะผิงไฟ
เศร้าฤทัยระทวยทรง
ไม่เหมือนอุ้มแอบองค์
ไม่เหมือนทรงสุคนธา
ไม่หอมชื่นในนาสา
เหมือนได้เห็นหน้าพระน้อง เอยฯ
|
|
ท่านสุนทรภู่แต่งบทเห่กล่อมนี้ เพื่อถวายสำหรับกล่อมหม่อมเจ้าในพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ กับพระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว |
3.เห่เรื่องโคบุตร
|
เป็นนิทานเรื่องแรกที่ท่านสุนทรภู่แต่งขึ้นเมื่อยังหนุ่ม ท่านได้นำตอนที่โคบุตรส่งสารรักถึงนางอำพันมาแต่งเป็นบทเห่ เป็นเรื่องที่สร้างความเพลิดเพลินอย่างมากแก่เด็ก และทำให้เด็กอยากรู้เรื่องราวในตอนต่อไปจนต้องหาหนังสือมาอ่านต่อ หรือให้ผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง ดังจะคัดมาตอนหนึ่ง ดังต่อไปนี้
|
เห่เอยเห่ถวาย |
ถึงเรื่องนิยายแต่ปางหลัง |
ให้พระองค์ทรงฟัง |
เมื่อแรกตั้งโลกา |
มีพระมิ่งมงกุฎ |
ชื่อโคบุตรสุริยา |
ได้ข่าวพระธิดา |
ตรึกตราตรอมใจ |
|
4.เห่เรื่องจับระบำ
|
บทเห่จับระบำมีเนื้อเรื่องแบ่งออกเป็น ๓ ตอน ได้แก่ ตอนแรกเป็นเรื่องราวของนางฟ้า และเทวดาพากันร่ายรำ ท่ามกลางสายฝนบนวิมานเขาไกรลาส ตอนที่ ๒ เป็นเรื่องของนางเมขลา นางฟ้าที่มีหน้าที่เฝ้ามหาสมุทรกำลังร่ายรำพร้อมกับนางฟ้าทั้งหลาย ตอนที่ ๓ เป็นเรื่องของนางเมขลามาเจอกกับรามสูร รามสูรนั้นมีขวานเป็นอาวุธ ทั้งสองได้มาเจอกันรามสูรได้ขว้างขวานใส่นางเมขลา แต่ด้วยฤทธิ์ของแก้วมณีทำให้พลาดไป ทำให้เกิดเป็นตำนานฟ้าแลบฟ้าร้อง บทเห่จับระบำนี้มีเนื้อหาเรื่องราวที่สนุกสนานเป็นที่ชื่นชอบของเด็กที่ได้ฟัง เนื่องจากเป็นเรื่องการต่อสู้ระหว่างยักษ์กับนางฟ้า เมื่อเด็กได้ฟังก็จะตื่นเต้นไปกับเนื้อเรื่องด้วย ดังจะคัดส่วนหนึ่งของตอนแรกมา ดังต่อไปนี้
เห่เอยเห่สวรรค์ |
เมื่อวสันต์ฤดูฝน |
นักขัตฤกษ์เบิกบาน |
ให้มืดมนเมฆษ |
เทวาลาหก |
ให้ฝนตกลงมา |
ฝูงเทพเทวา |
กับนางฟ้าฟ้อนรำ |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|