|
พระตำหนักทับขวัญ,นครปฐม
พระตำหนักทับขวัญ |
พระตำหนักทับขวัญ
เป็นเรือนไทยภาคกลางที่อาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบที่สุด
และเป็นแบบอย่างของสถาปัตยกรรมเรือนไทยชั้นครูที่ยังคงลักษณะของเรือนไทยภาคกลาง
ฤทัย ใจจงรัก อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผู้วิจัยเรื่อง "เรือนไทยเดิม" กล่าวว่า "เรือนทับขวัญ
ถือว่าเป็นฝีมือครู
ซึ่งเป็นแบบฉบับให้อนุชนรุ่นหลังไปศึกษาค้นคว้าได้ดีที่สุด
เรือนนี้อยู่ในประเภทเรือนคหบดีและมีส่วนประกอบครบ"
พระตำหนักทับขวัญตั้งอยู่ภายในพระราชวังสนามจันทร์
จังหวัดนครปฐม นายช่างผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างคือ
พระยาวิศุกรรมศิลป์ประสิทธิ์ (น้อย ศิลปี) |
|
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเพื่อรักษาศิลปะบ้านไทยแบบโบราณและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดการพระราชพิธีขึ้นพระตำหนักใหม่
เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2454 พระองค์ได้ประทับแรม ณ
พระตำหนักองค์นี้เป็นเวลา 1 คืน และเมื่อมีการซ้อมรับเสือป่า
พระตำหนักองค์นี้ใช้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการเสือป่าราบหนักรักษาพระองค์
ปัจจุบัน
ภายในพระตำหนักใช้จัดแสดงพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจด้านไทยศึกษาของพระบาท
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประวัติความเป็นมาพระตำหนักทับขวัญ
ทางด้านทิศตะวันตกของเมืองนครปฐมห่างไป 1 กิโลเมตร
มีบริเวณที่เรียกกันมาว่า "เนินปราสาท" ใกล้ๆ กับเนินแห่งนี้
มีสระน้ำขนาดใหญ่เรียกว่า "สระน้ำจันทร์"
เป็นที่ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
ทรงโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างพระราชวังเพื่อแปรพระราชฐานในการเสด็จมาสักการะองค์พระปฐมเจดีย์
และทรงพระราชทานนามว่า พระราชวังสนามจันทร์
การก่อสร้างพระที่นั่งและพระตำหนักต่างๆ
ในพระราชวังสนามจันทร์นั้น ได้ดำเนินติดต่อกันมาถึง 4 ปี
จึงเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2454
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างเรือนไทยพระตำหนักทับขวัญขึ้น โดยโปรดเกล้าฯให้จัดการพระราชพิธีขึ้นพระตำหนักใหม่
เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2454
การสร้างพระตำหนักทับขวัญในรูปแบบของเรือนไทยเพื่อรักษาศิลปะบ้านไทยแบบโบราณ
พระองค์ได้ประทับแรม ณ พระตำหนักองค์นี้เป็นเวลา 1 คืน
และเมื่อมีการซ้อมรับเสือป่า
พระตำหนักองค์นี้ใช้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการเสือป่าราบหนักรักษาพระองค์
โดยพระตำหนักทับขวัญสร้างขึ้นคู่กับพระตำหนักทับแก้ว
ซึ่งเป็นตึกฝรั่งอยู่ทางด้าน ตะวันออกคนละฟากถนนกับทับแก้ว
ในสมัยรัชกาลที่ 7
กระทรวงมหาดไทยขอให้ทับขวัญเป็นที่พักเกษตรมณฑล พ.ศ. 2479
เพื่อจัดการบูรณะ ทางจังหวัดนครปฐมขอทับขวัญเป็นสิทธิ์
ตามเรื่องราวปรากฏว่า "เคยเป็นตำหนักที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 6
กระทรวงวังมีความรังเกียจที่จะให้ผู้อื่นอยู่ร่วมอาศัย
ได้เคยดำริจะรื้อนำมากรุงเทพฯ ครั้งหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 2476
แต่ยังมิได้จัดการอย่างไรต่อจากนี้
เลขานุการคณะกรรมการพระราชวัง
ได้มีหนังสือถึงราชเลขานุการในพระองค์ ความว่า
ยังไม่เห็นควรรื้อ เพราะ เห็นว่าเรือนนี้ยังคงทนถาวรอยู่"
ปี พ.ศ. 2509 พระตำหนักทับขวัญตกเป็นกรรมสิทธิ์
ของมหาวิทยาลัยศิลปากร สภาพพระตำหนักในตอนนั้น ทรุดโทรมมาก
หลังคา ชำรุดและรั่ว พื้นพัง โดยเฉพาะพื้นชานไม่ สามารถใช้ได้
ในปี 2511 มหาวิทยาลัย
มีความคิดที่จะใช้ทับขวัญเป็นพิพิธภัณฑ์ทางภาษาและวัฒนธรรมไทยและคิดจะบูรณะแต่ขาดเงินซึ่งภายหลังกรมศิลปากรร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากรได้ของบประมาณ
และขอรับบริจาคจากหน่วยงานต่าง ๆ
จนสามารถดำเนินการบูรณะจนเสร็จสมบูรณ์โดยวิธีรื้อของเก่าออกทั้งหลังแล้วประกอบใหม่ให้เหมือนเดิมโดยเปลี่ยนวัสดุมุงหลังคาแทนจาก
คณะกรรมการส่งเสริมกิจการละครพูดกับนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากรได้ร่วมกันจัดการแสดงละครพระราชนิพนธ์
รัชกาลที่ 6 ปี พ.ศ. 2519
เพื่อเก็บเงินตั้งเป็นกองทุนบูรณะพระตำหนักทับขวัญ
โดยมีการแสดงเรื่อง "ตบตา" และเรื่อง "ทานชีวิต"
ที่โรงละครแห่งชาติ
ใน พ.ศ. 2524 อันเป็นปีฉลองวันพระบรมราชสมภพครบ 100 ปี
ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมศิลปากร
ได้เสนอของบประมาณเพื่อบูรณะพระตำหนักทับขวัญเป็นเงินหนึ่งล้านบาท
ฝ่ายมหาวิทยาลัยศิลปากรได้ตั้ง "คณะกรรม
การร่างโครงการบูรณะเรือนทับขวัญ"
และได้ประกาศทางหนังสือพิมพ์ขอให้ช่วยกันบริจาคเงินเพื่อการนี้
ซึ่งทาง
มหาวิทยาลัยชี้แจงว่าจะใช้พระตำหนักทับขวัญเป็นศูนย์วัฒนธรรมภาคกลางและภาคตะวันตก
ซึ่งธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด บริจาคเงินสมทบทุนไว้อีก
หนึ่งหมื่นบาท
ในปีเดียวกันนี้ชุมนุมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จังหวัดนครปฐม ได้จัดการโขนกลางแปลงเรื่อง "มารชื่อพิเภก"
ได้เงินหนึ่งแสนบาทและสมาคมชาวนครปฐม จัดงาน "ห้าธันวามหาราช"
ได้เงินสมทบทุนอีกหนึ่งแสนบาท และต่อมาบริษัทเอสโซ่ แสตนดาร์ด
ประเทศไทย จำกัด
ได้บริจาคเงินสองล้านบาทร่วมบูรณะพระตำหนักทับขวัญ
เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ในปี พ.ศ. 2525
ในขณะเดียวกันกรมศิลปากร
ได้งบประมาณแผ่นดินเพื่อบูรณะพระตำหนักทับขวัญหนึ่งล้านบาท
ดังนั้นในปี พ.ศ. 2525 นี้เอง
ทางมหาวิทยาลัยได้ทำการบูรณะขึ้นใหม่ทั้งหลัง
โดยให้อยู่ในรูปแบบลักษณะเดิมทุกประการ
แต่เปลี่ยนแปลงทางด้านระบบโครงสร้างและวัสดุ ทางด้านโครงสร้าง
เสาช่วงล่างเปลี่ยนเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กและเพิ่มคานด้านความยาวเพื่อรองรับราที่เพิ่มให้ถี่ขึ้น
ในการรองรับพื้นเรือนให้สามารถรองรับน้ำหนักจากผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมชมพระตำหนักซึ่งจำนวน
จะมากกว่าปกติ
ส่วนวัสดุจะเปลี่ยนวัสดุมุงหลังคาจากตับเปลี่ยนเป็นกระเบื้องดินเผาหลบหลังคาที่สันหลังคา
และหลบหลังคาปั้นลมเปลี่ยนมาเป็นทำด้วยปูน และปูอิฐที่ใต้ถุน
เพื่อให้ได้ประโยชน์การใช้สอยเพิ่มขึ้น
พระตำหนักทับขวัญที่สร้างใหม่เสร็จวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2526โดยในวันที่
30 มีนาคม พ.ศ. 2526 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จมาทรงเป็นประธานในพิธี
ปัจจุบัน
ภายในพระตำหนักใช้จัดแสดงพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจด้านไทยศึกษาของพระบาท
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่น เรื่องเกี่ยวกับภาษา
วรรณคดี โบราณคดี การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา กิจการเสือป่า
และลูกเสือไทย เป็นต้น
ลักษณะของเรือนไทยพระตำหนักทับขวัญ
เรือนไทยพระตำหนักทับขวัญสร้างด้วยไม้สักทองใช้วิธีเข้าไม้ตามแบบฉบับบ้านไทยโบราณ
ฝาเรือนทำเป็นฝาปะกนกรอบลูกฟัก
เชิงชายและไม้ค้ำยันสลักเสลาสวยงาม หลังคาเดิมมุงจาก
หลบหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา
พระตำหนักทับขวัญประกอบด้วยกลุ่มเรือน 8 หลัง ได้แก่ เรือนใหญ่
4 หลัง เรือนเล็ก 4 หลัง สร้างให้หันหน้าเข้าหากัน 4
ทิศบนชานรูปสี่เหลี่ยม เรือนหลังใหญ่เป็นหอนอน 2 หอ (ห้องบรรทมเป็นหอนอนที่อยู่ทางทิศใต้)
อีก 2 หลังเป็นเรือนโถงและเรือนครัวซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน
ส่วนเรือนเล็กอีก 4 หลังนั้นตั้งอยู่ตรงมุม 4 มุมๆ ละ 1 หลัง
ได้แก่ หอนก 2 หลัง เรือนคนใช้และเรือนเก็บของ
เรือนทุกหลังมีชานเรือนเชื่อมกันโดยตลอด
บริเวณกลางชานเรือนปลูกต้นจันทน์ใหญ่แผ่กิ่งก้านไว้ให้ร่มเงาอยู่กลางนอกชาน
รอบๆ บริเวณปลูกไม้ไทย มีต้นจันทร์ จำปี นางแย้ม นมแมว เป็นต้น
(เมื่อปี พ.ศ. 2510 - 2511
ยังมีกระถางไม้ดัดและอ่างปลาเหลืออยู่ที่นอกชาน)
คูหาหน้าบันประดับด้วยป้านลมและตัวเหงาหน้าบันเป็นแบบลูกฟักหน้าพรหม
ฝาเรือนเป็นไม้เข้าลิ้นแบบฝาปะกน พระตำหนักนี้จะมีบันไดขึ้นลง
2 บันได บันไดหน้ามีซุ้มประตูเป็นหลังคาซุ้มเล็กๆ ทรงเดียว
กับหลังคาเรือน บันได
อยู่ที่ส่วนเชื่อมต่อกันของชานระเบียงเรือนใหญ่กับเรือนเล็ก
แรกเริ่มนั้นเรือน ทุกหลังมุงหลังคาด้วยตับจาก
และหลบสันหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา
แต่ได้เปลี่ยนเป็นกระเบื้องดินเผาภายหลัง
โครงสร้างทั้งหมดเป็นไม้
พื้นเป็นไม้สักปูตามยาวของตัวเรือนมีรอดรองรับ
นอกจากนี้พระตำหนักทับขวัญนี้ยังเป็นเรือนไทยที่มีใต้ถุนสูง
ใต้ถุนของตัวเรือน คนสามารถเดินลอด ผ่านได้สะดวก
ส่วนใต้ถุนของระเบียงและชาน สามารถลอดได้แต่ไม่สะดวกนัก
การเดินทาง
- ทางรถยนต์
ให้ใช้แยกนครชัยศรีเป็นหลัก
ซึ่งถ้าวิ่งมาจากกรุงเทพจะสามารถมาได้จาก ถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข
4) และถนนสายปิ่นเกล้า - นครชัยศรี (ทางหลวงหมายเลข 338 )
เพื่อมุ่งหน้าสู่นครปฐม
ทั้งสองเส้นทางด้านบนจะต้องผ่านแยกนครชัยศรี
จากแยกนครชัยศรี ขับตรงไปประมาณ 8.5 กิโลเมตร จะถึงแยกบ้านแพ้ว
(ถ้าเลี้ยวซ้ายจะไปบ้านแพ้ว ถ้าตรงไปจะไปนครปฐม ราชบุรี)
ให้ขับตรงไปอีกประมาณ 500 เมตร จะพบสะพานไปตัวเมืองนครปฐม
ให้ขับขึ้นสะพาน (ถ้าตรงไปจะไปราชบุรี)
จากนั้นขับตรงไปอีกประมาณ 3.4 กิโลเมตร จะพบ 4 แยกไฟแดง (ถ้าตรงไปก็คือ
องค์พระปฐมเจดีย์ ถ้าเลี้ยวขวาจะเข้าไปยังตลาดนครปฐม
ถ้าเลี้ยวซ้ายจะไปจังหวัดสุพรรณบุรี) เลี้ยวซ้าย
แล้วขับตรงไปประมาณ 200 เมตร จากนั้นเลี้ยวขวา
แล้วขับตรงไปประมาณ 1.9 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวาที่ไฟแดง
เลี้ยวขวาแล้วให้ขับตรงไปประมาณ 400 เมตร
ก็จะถึงพระราชวังสนามจันทร์
- ทางรถโดยสารประจำทาง
จากสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ นั่งรถสายกรุงเทพฯ - สุพรรณบุรี
ไปลงที่ มหาวิทยาลัยศิลปากร (นครปฐม) จากนั้นเดินเท้าประมาณ
400 เมตร จะถึงพระราชวังสนามจันทร์ |
|
|